เพื่อนคู่คิดคนซื้อบ้าน-คอนโด รายงานความเคลื่อนไหวในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์

Property Mentor เปลี่ยนที่อยู่ใหม่ครับ




เรียนผู้ติดตามเว็บไซต์ thaipropertymentor  และ เฟซบุ๊กเพจ property mentor  ทีมงานจะขอแจ้งให้ทราบว่า เราได้ย้ายเว็บไซต์ไปอยู่ที่  www.thaipropertymentor.com แต่ยังพร้อมด้วยเนื้อหาสาระด้านอสังหาริมทรัพย์ที่อัดเน้นเหมือนเช่นเคย เพิ่มเติมคือ ลิงค์ค้นหาบ้านกับ baania เพื่อตอบสนองผู้ที่ต้องการค้นหาที่อยู่อาศัยแบบล้ำๆ ฝากติดตามกันเหมือนเคยด้วย subscribe ที่อยู่ด้านล่างของเพจ และอย่าลืมกดติมตามใน facebook property mentor  ด้วยนะครับ ขอบคุณครับผม...วราพงษ์ ป่านแก้ว



Share:

รัฐบาลใหม่ จะเอาไงกับธุรกิจอสังหาฯ



โดย...วราพงษ์ ป่านแก้ว
FB:property mentor

โฉมหน้ารัฐบาลลุงตู่สมัยที่ 2 ชัดเจนแล้วว่า พรรคไหนและใครจะได้นั่งคุมกระทรวงอะไรกันบ้างหลังจากที่มีพระบรมราชโองการโปรเกล้าฯ แต่งตั้งรัฐมนตรีไปเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคมที่ผ่านมา

รัฐบาลใหม่ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีหน้ามนคนหน้าเดิม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังมีอะไรต้องทำอีกเยอะครับ และอย่าหวังว่าจะราบเรียบ ราบรื่นเหมือนสมัยแรกที่มีสามารถกดปุ่มสั่งได้ด้วยอำนาจของม.44 แต่วันนี้นอกจากไม่มีม. 44 ให้ใช้แล้ว ยังมีพรรคร่วมไม่รู้กี่พรรคที่จะต้องเคลียร์ใจกันเป็นระยะๆ

เป็นเพราะเสถียรภาพรัฐบาลคงจะไม่ได้แน่นแฟ้นเหมือนก่อน และเสียงในสภาก็อยู่ในระดับปริ่มน้ำ ทำอะไรก็คงต้องระวังหน้าระวังหลังกันตลอด การบริหารประเทศก็คงจะไม่สามารถเดินหน้าได้เต็มกำลังดังใจหวัง และนอกจากปัญหาการเมืองที่ต้องระแวดระวังกันแล้ว ปัญหาด้านเศรษฐกิจ ก็หนักหนาเอาการอยู่ ทั้งปัญหาภายนอกภายในรุมเร้าและรอให้นายกฯและทีมเศรษฐกิจเข้ามาสางปัญหากันอยู่หลายเรื่อง ชนิดที่ไม่ต้องมี ฮันนีมูนพีเรียด กันเลยทีเดียว ดูๆ แล้วก็เหนื่อยแทน

เอาล่ะมาเข้าเรื่องอสังหาริมทรัพย์กันบ้าง รัฐบาลใหม่จะมีนโยบายอะไรที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจอสังหาฯ และภาคประชาชน ก็ต้องลองดูที่นโยบายของพรรคแกนนำทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น พลังประชารัฐ ประชาธิปัตย์ และภูมิใจไทย ก็ต่างก็มีนโยบายที่เกี่ยวของการภาคอสังหาฯทั้งทางตรงทางอ้อมอยู่หลายข้อเหมือนกัน ขอเอามาทวนให้ฟังอีกรอบ เผื่อท่านๆ ทั้งหลายเขาจะลืมกัน

เริ่มที่พลังประชารัฐ จะสานต่อโครงการ บ้านล้านหลังที่ได้ให้ประชาชนมาจองสิทธิ์สินเชื่อไว้แล้ว 1.27 แสนล้านบาท โดยจะมีการปล่อยสินเชื่อในเฟสที่ 2 วงเงินอีก 1 แสนล้านบาท มีโครงการบ้านประชารัฐที่จะเดินหน้าต่อ และยังมีแนวคิดเสริมสร้างอาชีพ เพื่อเพิ่มรายได้ ให้กับคนที่มีรายได้ไม่พอในการผ่อนบ้าน

นอกจากนี้ จะพัฒนาคอนโดมิเนียมให้กับผู้สูงอายุในเมือง ผลักดัน รีเวิร์ส มอร์เกจ เปลี่ยนบ้านให้เป็นบำนาญสำหรับผู้สูงอายุ ใช้อีอีซี โมเดล เป็นต้นแบบกระจายศูนย์กลางความเจริญไปสู่ภูมิภาคอื่นๆ  สร้างเมืองน่าอยู่ใกล้บ้านมีงานทำในจังหวัดใหญ่ๆ และจังหวัดรอง เร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน พัฒนาย่านธุรกิจและนวัตกรรม สร้างเมืองอัจฉริยะสีเขียว พัฒนากรุงเทพฯให้เป็น bangkok 5.0  เป็นต้น


มาที่พรรคประชาธิปัตย์ จะสร้างบ้านหลังแรกด้วยงบประมาณ 2 หมื่นล้านบาท เพื่อเพิ่มโอกาสให้ประชาชนผู้ที่มีรายได้น้อยในการเข้าถึงสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อซื้อบ้าน ผลักดันการเก็บภาษีที่ดินให้มีประสิทธิภาพ จะตั้งคณะกรรมการบริหารจัดการที่อยู่อาศัยแห่งชาติ พร้อมกับจัดทำแผนบริหารจัดการที่อยู่อาศัยแห่งชาติ เพื่อสนองตอบความต้องการด้านที่อยู่อาศัยอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งเสริมให้ประชาชนมีกรรมสิทธิ์ในที่อยู่อาศัย

ขณะเดียวกันจะสนับสนุนให้ภาคเอกชนมีบทบาทในการพัฒนาธุรกิจบ้านและที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพมากขึ้น เพื่อสนองตอบความต้องการบ้านและที่อยู่อาศัยของผู้มีรายได้กลุ่มต่างๆ  ส่งเสริมการซื้อขายที่อยู่อาศัย ทั้งบ้านใหม่และบ้านมือสอง เร่งรัดโครงการสร้างรถไฟทางคู่ ขยายโครงข่ายรถไฟเชื่อมโยงไปสู่ภูมิภาคต่างๆ เร่งลงทุนรถไฟความเร็วสูง และเร่งรัดการก่อสร้างระบบขนส่งมวลชนทางรางในกทม.และปริมณฑล
บุรีรัมย์ โมเดล ต้นแบบการพัฒนาเมืองในภูมิภาคของพรรคภูมิใจไทย
สุดท้ายพรรคภูมิใจไทย จะแก้กฎหมายขนส่ง สร้างทางเลือกใหม่ในการเดินทางของคนกรุงเทพฯ โดยการนำ รถยนต์ มาสร้างรายได้ผ่านเทคโนโลยีดิจิทัล เสนอแก้ไขพระราชบัญญัติโรงแรม เพื่อนำห้องชุดเป็นห้องเช่า สร้างรายได้ ช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยว Work@Home ทำงานที่ไหนก็ได้ เงินเดือนเท่าเดิม ลดเวลาเรียนในห้องเรียน เพิ่มการเรียนออนไลน์

นอกจากนี้ จะจัดหาสถานที่เพื่อจัดทำ Co-working Space ขึ้นมาแขวงละ 1 แห่ง เพื่ออำนวยความสะดวกของประชาชนในการเข้าใช้บริการแบบไม่คิดค่าใช้จ่ายและมีอินเทอร์เน็ตให้บริการฟรี นำบุรีรัมย์โมเดล มาเป็นต้นแบบในการพัฒนาเมือง ในจังหวัด อื่นๆ ทั่วประเทศสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ ให้กับประชาชน

ที่สาธยายมาทั้งหมดก็คือ นโยบายขายฝัน เอ้ย นโยบายหาเสียงของแต่ละพรรคการเมือง ซึ่งมันจะเป็นจริงได้ก็ต่อเมื่อได้เป็นรัฐบาล และนำนโยบายมากลั่นกรองยกร่างร่วมกับพรรคแกน พรรคร่วม และนายกรัฐมนตรี ที่สำคัญต้องได้นั่งในกระทรวง ทบวง กรมที่รับผิดชอบโดยตรง เพื่อขับเคลื่อนนโยบายให้เป็นรูปธรรม คราวนี้มาลองดูกันว่า นโยบายเด่นๆ ที่น่าจะเป็นไปได้ในรัฐบาลลุงตู่ 2
 
อุตตม สาวนายน รมว.คลัง
เริ่มที่พรรคแกนนำอย่าง พลังประชารัฐกันก่อน มีรัฐมนตรีที่นั่งกระทรวงเศรษฐกิจสำคัญนั่นก็คือ กระทรวงการคลังที่มีบทบาทต่อการผลักดันนโยบายด้านอสังหาฯ ดังนั้นโครงการบ้านล้านหลังปล่อยกู้ให้กับผู้มีรายได้น้อยที่ซื้อบ้านราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท จะต้องได้ไปต่อแน่นอน
แต่ถ้าย้อนดูความสำเร็จจากเฟสแรก ที่ยังปล่อยกู้ไปได้แค่ไม่กี่พันล้านจากที่มาจองสิทธิ์ไว้กว่า 1 แสนล้านบาท นั่นเป็นเพราะบ้านราคา 1 ล้านมันแทบไม่มีอยู่ในตลาด คงต้องฝากให้ทบทวนกันอีกทีว่า เงื่อนไขบ้าน 1 ล้านนั่นเวิร์กหรือไม่ เช่นเดียวกับ มาตรการลดค่าโอน ค่าจดจำนอง เพื่อสนับสนุนผู้มีรายได้น้อยให้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเองในราคา 1 ล้านบาท และมาตรการลดหย่อนภาษีบ้านไม่เกิน 5 ล้าน ก็ไม่ปังอย่างที่คิด และคงต้องพิจารณาทบทวนกันอีกรอบ

อีกเรื่องที่เป็นปัญหามาก คือมาตรการคุมสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่ทำให้ตลาดอสังหาฯชะลอตัวอยู่ในเวลานี้ จริงๆ ตัววัตถุประสงค์ของมาตรการไม่ค่อยมีปัญหาเท่าไหร่และหลายฝ่ายเห็นด้วยที่จะต้องมีการคุมกัน แต่บางเงื่อนไขควรผ่อนปรนได้บ้าง เพื่อให้เป็นไปตามข้อเท็จจริง แต่สิ่งที่ต้องรีบเร่งดำเนินการคือ ความเข้าใจของทุกฝ่าย ตั้งแต่ผู้ซื้อบ้าน ผู้ประกอบการ และสถาบันการเงิน

นอกจากนี้ พลงัประชาชรัฐยังมีเรื่องของ รีเวิร์ส มอร์เกจ ให้กับผู้สูงอายุ ที่ตั้งแทนรออยู่แล้ว การพัฒนาอีอีซี โมเดล กับพื้นที่อื่นๆ ก็คงจะถูกขับเคลื่อนโดยตัวนายกฯ ในฐานะที่นั่งหัวโต๊ะกรรมการอีอีซี แต่จะเดินหน้าได้ดีแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับรัฐมนตรีจากพรรคอื่นๆ ที่เป็นกรรมการในอีอีซีด้วย จะจูนกันลงตัวมากน้อยแค่ไหน
จุติ ไกรฤกษ์ รมว.พัฒนาสังคมฯ
พรรคประชาธิปัตย์ ชูเรื่องบ้านหลังแรกสำหรับผู้มีรายได้น้อย โดยให้เข้าถึงสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำวงเงิน 20,000 ล้านบาท การขับเคลื่อนนโยบายด้านที่อยู่อาศัย ผ่านกรรมการที่อยู่อาศัยแห่งชาติ รวมถึงการสนับสนุนเอกชน นโยบายเหล่านี้ก็มีความเป็นได้ที่จะถูกผลักดันออกมาผ่านการเคหะแห่งชาติ กระทรวงการพัฒนาสังคม และความมั่นคงของมนุษย์ ที่ประชาธิปัตย์ดูแลอยู่โดยตรง แต่ก็ต้องดูตาม้าตาเรือให้ดี เพราะผู้ว่าการเคหะคนนี้เป็นคนของดร.สมคิด จาตุศรพิทักษ์ รองนายกฯฝายเศรษฐกิจ คิดจะทำอะไรคงต้องนั่งคุยกันก่อน

สุดท้ายที่พรรคภูมิใจไทย คุมกระทรวงคมนาคม ซึ่งคงต้องรันแผนงานหลักคือเรื่องของโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมที่หลายโครงการยังรออยู่ และที่สำคัญคงได้ผลักดันนโยบายที่หาเสียงเอาไว้คือ การเอารถบ้านมาวิ่งสาธารณะ เหมือนที่ Grab และ Uber  ทำ ก็คงต้องตบตีกับแท็กซี่กันอีกหลายยก เพราะยังไม่ทันนั่งเก้าอี้ พี่น้องแท็กซี่ก็ออกมาประท้วงกันแล้ว
ศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม
รวมถึงการขอแก้พ.ร.บ.โรงแรมให้เอาคอนโดมาปล่อยเช่ารายวันได้ ซึ่งก็น่าจะทำได้ในฐานะที่คุมกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา แต่ปัญหาก็คือ กฎหมายโรงแรม รมว.มหาดไทยเป็นผู้มีอำนาจตามกฎหมาย ซึ่งรมช.มหาดไทยในสังกัดภูมิใจไทยคงต้องมีเหตุผลดีๆ ที่จะโน้มน้าวให้รมว.มหาดไทยในโควต้าของนายกฯ เห็นดีเห็นงามด้วย ที่สำคัญคือ ผู้ประกอบธุรกิจรร.คงไม่ยอมให้ผ่านไปได้ง่ายๆ เช่นกัน

นโยบายอีกเรื่องที่ภูมิใจไทยน่าจะหยิบจับมาสร้างเนื้องานให้กับพรรคตัวเองได้ ในฐานะที่ดูกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา คือ การนำเอาเรื่องของกีฬามาพัฒนาเมือง สร้างงาน สร้างรายได้ให้จังหวัด เหมือนที่ประสบความสำเร็จที่จังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งน่าจะเห็นแนวคิดนี้ในจังหวัดอื่นๆ ส่วนเรื่องของการ Work@Home/Study@Home หรือการทำ Co-working Space ดูแล้วก็อาจจะยากๆ สักหน่อย เพราะไม่ได้คุมกระทรวงที่ดูแลเรื่องพวกนี้โดยตรง

สรุปว่า ก็คงพอจะได้เห็น นโยบายด้านอสังหาฯ และการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่พรรคแกนนำต่างๆ ได้หาเสียงเอาไว้ ถูกนำมาขับเคลื่อนอยู่บ้าง ผ่านทางกระทรวงต่างๆ ที่แต่ละพรรคดูแลอยู่บ้าง แต่จะให้เปรี้ยงปร้าง หรือปัง ได้แค่ไหน ก็ต้องคอนติดตามกันครับ 
Share:

ซื้อบ้านจัดสรรอย่างไร ไม่ให้ถูกเอาเปรียบ


บ้านจัดสรร

อาจเป็นเพราะเราเข้าถึงข้อมูลข่าวสารกันได้ทุกที่ ทุกเวลา เพียงแค่มีสัญญาณอินเทอร์เน็ททุกๆ อย่างก็ง่ายดายแค่ปลายนิ้ว แล้วเราคิดกันบ้างหรือไม่ว่ายิ่งเข้าถึงง่าย อาจถูกหลอก หรือถูกเอาเปรียบได้ง่ายๆ ถ้าเราไม่มีข้อมูลมากเพียงพอ โดยเฉพาะกับการซื้อทรัพย์สินรายการใหญ่อย่างที่อยู่อาศัย

ปัจจุบันสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค หรือ สคบ.ได้กำหนดให้การซื้อขายบ้านจัดสรร ถูกควบคุมด้วยสัญญามาตรฐานที่มีกฎหมายรองรับ แต่เมื่อเราเห็นการโฆษณาผ่านสื่อโซเชียล บวกกับโปรโมชั่นแรงๆ ราคาลดสุดๆ ล่อใจ เราอาจตัดสินใจจองซื้อบ้านจัดสรรโดยที่ไม่มีการศึกษารายละเอียดโครงการให้ดีพอ

เพื่อเป็นการป้องกันปัญหาต่าง ๆ Property Mentor มี Trick ในการเลือกซื้อบ้านจัดสรรมานำเสนอ

ควรเลือกซื้อบ้านกับโครงการที่มีใบอนุญาตจัดสรร เพราะผู้บริโภคจะได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายเกี่ยวกับการสรรที่ดิน  ซึ่งโครงการที่ดำเนินการถูกต้องตามกฎหมายจะมีมาตรฐานในด้านของการจัดให้มีสาธารณูปโภคภายในโครงการ อาทิ ขนาดของถนนที่ตรงตามมาตรฐาน ระบบไฟฟ้า ประปา และสาธารณูปโภคอื่น ๆ

ควรตรวจสอบรายละเอียดต่างๆ ของโครงการว่ามีอะไรบ้าง เช่น อ่านจากแผ่นพับโฆษณาว่าทางโครงการจัดให้มีสวนสาธารณะ สระว่ายน้ำ สนามกีฬา สนามเด็กเล่น หรือไม่ ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องระบุในสัญญาด้วยนะครับ หากเป็นโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างควรสอบถามให้ชัดเจนว่าจะเริ่มทำเมื่อใด และจะทำหรือไม่ เพราะมีหลายโครงการที่สร้างบ้านขายหมดทุกหลังแล้ว ก็ละเลยไม่ทำสวนสาธารณะ หรือสระว่ายน้ำตามที่สัญญาไว้

ควรเก็บแผ่นพับ โปรชัวร์โฆษณา เอาไว้เสมือนเป็นหลักฐานสำคัญฉบับหนึ่ง เพราะคำโฆษณา สามารถนำไปอ้างอิงทางกฎหมายได้ กรณีที่เจ้าของโครงการไม่ทำตามที่โฆษณาไว้

นอกจากนี้ ควรหาโอกาสไปดูโครงการอื่นๆ ของผู้ประกอบธุรกิจบ้านจัดสรรรายเดียวกันนี้ว่าผลงานเป็นอย่างไรบ้าง ถนนโครงการกว้างตามแบบที่กฎหมายกำหนดหรือไม่ ระบบต่างๆ การบริหารจัดการภายในโครงการเป็นอย่างไร เช่น  ระบบการจัดเก็บขยะ การระบายน้ำหรือปัญหาน้ำท่วมขัง เราลองสอบถามจากคนที่อยู่ในโครงการนั้นดูว่า มีปัญหาเกี่ยวกับบ้านที่ซื้อไป หรือมีปัญหาเกี่ยวกับการอยู่อาศัยหรือไม่

ควรศึกษาสภาพแวดล้อมของโครงการในเรื่องการเวนคืนที่ดินและกฎหมายข้อห้ามต่างๆ  และไม่ควรหลงเชื่อโฆษณา ต้องสอบถามเงื่อนไขให้ชัดเจน ว่าก่อสร้างเสร็จเมื่อใด ราคาซื้อขาย สาธารณูปโภคมีอะไรบ้าง ของแถม ส่วนลด ค่าใช้จ่ายส่วนกลาง  ส่วนค่าธรรมเนียมและค่าภาษีต่าง ๆ ในการโอนกรรมสิทธิ์ ซึ่งในส่วนของค่าใช้จ่ายในการโอนกรรมสิทธิ์กฎหมายระบุชัดเจนให้ผู้ซื้อรับผิดชอบเฉพาะค่าธรรมเนียมครึ่งหนึ่งเท่านั้น ส่วนค่าธรรมเนียมอีกครึ่งหนึ่งและค่าภาษีต่าง ๆ เป็นหน้าที่ของประกอบธุรกิจบ้านจัดสรรที่จะต้องชำระตามกฎหมาย

หากในสัญญาระบุไว้ว่าผู้ซื้อจะต้องชำระทั้งหมดถือว่าไม่ถูกต้อง  เราซึ่งเป็นผู้บริโภคกำลังถูกเจ้าของโครงการเอาเปรียบ รู้แบบนี้เราควรเปลี่ยนโครงการ เพราะแค่เรื่องค่าธรรมเนียมและภาษีในการโอนกรรมสิทธิ์ยังผลักภาระให้ผู้บริโภค  แล้วในเรื่องอื่นๆ ล่ะจะรับผิดชอบกันแค่ไหน

ที่สำคัญ ก่อนลงนามในสัญญาจองซื้อบ้าน  ต้องอ่านสัญญาทุกหน้าก่อนตัดสินใจลงชื่อ หากไม่เข้าใจในข้อสัญญาข้อใด ให้สอบถามพนักงานขายก่อน หากไม่มั่นใจในคำตอบให้สอบถามผ่านช่องทางสื่อสารของทางบริษัทผู้เป็นเจ้าของโครงการ หากเห็นว่าสัญญานั้นไม่เป็นธรรมก็ควรเลื่อนระยะเวลาทำสัญญาออกไป  เพื่อไปปรึกษาผู้รู้ในเรื่องนั้นก่อน อย่ารีบลงชื่อเพียงเพราะพนักงานขายเอาแต่พูดว่า วันนี้เป็นวันสุดท้ายของโปรโมชั่น เพราะอาจทำให้เราเสียเปรียบได้ในภายหลัง


Share:

เปิด Top 5 ทำเลคอนโดราคาปรับแรง 10-20%



เปิด 5 ทำเลดัชนีราคาห้องชุดปรับขึ้นสูงสุดในไตรมาส 2 เผยโซนราชเทวี-พญาไท ราคานำลิ่ว 20% บางซื่อ-ดุสิต ไล่บี้ 19% สุดขุมวิทตอนต้น-ปลาย เข้าป้าย อันดับ 3 และ 4  ขณะที่คอนโดชานเมืองฝั่งตะวันออกติดอันดับ 5  

นายวิชัย วิรัตกพันธ์ รักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ได้จัดทำดัชนีราคาห้องชุดใหม่ที่อยู่ระหว่างการขาย ในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ประจำไตรมาส 2 ปี 2562 พบว่า  ทำเลโครงการอาคารชุดสร้างใหม่ ที่มีการปรับราคาเพิ่มขึ้นสูงสุด 5 อันดับแรก ในช่วงไตรมาส 2 ปี 2562 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) ได้แก่ 1) พญาไท-ราชเทวี 20.2% 2) บางซื่อ-ดุสิต 19.2% 3) สุขุมวิทตอนปลาย 16.2% 4) สุขุมวิทตอนต้น 13.4% และ 5) ชานเมืองฝั่งตะวันออกของกรุงเทพฯ 10%

อย่างไรก็ตาม ในภาพรวมดัชนีราคาห้องชุดมีการขยายตัวเพิ่มขึ้น แต่เป็นการเพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอตัวลง โดยมีสาเหตุมาจากแนวโน้มอุปทานห้องชุดใหม่คงเหลือขายในตลาดที่เพิ่มขึ้น และอัตราดูดซับที่ลดลง รวมทั้งการเริ่มบังคับใช้มาตรการควบคุมสินเชื่อที่อยู่อาศัยของธนาคารแห่งประเทศไทย เมื่อต้นเดือนเมษายน 2562 ทำให้ผู้ซื้อชะลอการตัดสินใจ 


ดังนั้นผู้ประกอบการจึงเร่งรัดการตัดสินใจของผู้ซื้อด้วยการเพิ่มรายการส่งเสริมการขายในไตรมาสนี้มากขึ้น ส่งผลให้ดัชนีราคาห้องชุดในไตรมาสที่ 2 มีค่าดัชนีเท่ากับ 150.5 จุด (ปี 2555 = 100.0) เพิ่มขึ้น 8.2% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) และเพิ่มขึ้น 0.8% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน (QoQ)

สำหรับห้องชุดในกรุงเทพฯ มีค่าดัชนีเท่ากับ 151.9 จุด เพิ่มขึ้น 9.1% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนและเพิ่มขึ้น 0.9% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า  ส่วนปริมณฑล มีค่าดัชนีเท่ากับ 143.7 จุด เพิ่มขึ้น 4.7% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 0.7% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า

ส่วนรายการส่งเสริมการขายที่ใช้ในไตรมาสนี้อันดับ 1 เร่งรัดการตัดสินใจของผู้ซื้อด้วยของแถม เช่น เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ฯลฯ  59.7% อันดับ 2   ส่วนลดเงินสด 27.0% และอันดับ 3 ช่วยผู้ซื้อจ่ายค่าธรรมเนียมในการโอนกรรมสิทธิ์ 13.3% (ในไตรมาส 1 ปี 2562 รายการส่งเสริมการขาย อันดับ 1 ส่วนลดเงินสด 46.2% อันดับ 2 ให้ของแถม 38.5% และอันดับ 3  ช่วยผู้ซื้อจ่ายค่าธรรมเนียมในการโอนกรรมสิทธิ์ 15.4%)
คอนโด
บ้านเดี่ยว-ทาวน์เฮาส์ ราคาขึ้นเล็กน้อย
นายวิชัย กล่าวอีกว่า สำหรับดัชนีราคาบ้านเดี่ยวในกรุงเทพฯและปริมณฑล ประจำไตรมาส 2 ปี 2562 มีค่าดัชนีเท่ากับ 123.7 จุด เพิ่มขึ้น 2.3% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 0.5% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า โดยในพื้นที่กรุงเทพฯ มีค่าดัชนีเท่ากับ 123.0 จุด เพิ่มขึ้น 2.9% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 0.2% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ส่วนในจังหวัดปริมณฑล มีค่าดัชนีเท่ากับ 123.9 จุด เพิ่มขึ้น 2.4% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 0.6% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า

ขณะที่ดัชนีราคาทาวน์เฮาส์ ในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล มีค่าดัชนีเท่ากับ 128.3 จุด เพิ่มขึ้น 3.3% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 0.7% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ในกรุงเทพฯ มีค่าดัชนีเท่ากับ 126.8 จุด เพิ่มขึ้น 2.8% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 0.8% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ส่วนปริมณฑล มีค่าดัชนีเท่ากับ 129.8 จุด เพิ่มขึ้น 3.7% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 0.7% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า

ความเชื่อมั่นผู้ประกอบการลดฮวบ
นอกจากนี้ ศูนย์ข้อมูลยังได้จัดทำดัชนีความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัย ในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ในภาวะปัจจุบัน (Current Situation Index) ประจำไตรมาส 2 ปี 2562 โดยมีค่าเท่ากับ 42.2 จุด (ต่ำกว่าค่ากลางดัชนีที่ 50.0 จุด) ลดลงจากไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) ซึ่งมีค่าดัชนีอยู่ที่ 50.4 จุด

สะท้อนให้เห็นถึงระดับความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการฯ ที่ลดลงจากความไม่มั่นใจต่อทิศทางเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศไทยในปัจจุบัน ประกอบกับ เป็นช่วงเวลาที่ยังรอความชัดเจนในเชิงนโยบายที่จะมีผลธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยและอสังหาริมทรัพย์ในภาพรวมจากรัฐบาลชุดใหม่กำลังจะเข้ามาบริหารประเทศ

ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นในอีก 6 เดือนข้างหน้า (Expectations Index) ในไตรมาส 2 ปี 2562 มีค่าเท่ากับ 58.0 ลดลงเล็กน้อยจากไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งอยู่ที่ระดับ 58.4 จุด แต่ยังคงสูงกว่าค่ากลางที่ระดับ  50.0 จุด แสดงให้เห็นว่าผู้ประกอบการยังมีมุมมองที่เป็นบวกต่อทิศทางของธุรกิจการพัฒนาที่อยู่อาศัย โดยยังให้ความเชื่อมั่นว่า เศรษฐกิจจะมีโอกาสปรับตัวดีขึ้นภายหลังจากที่มีการจัดตั้งรัฐบาลเรียบร้อยแล้ว

Share:

ดวง-ธุรกิจ วันจันทร์ที่ 8-วันอาทิตย์ที่ 14 กรกฎาคม 2562


โดย...ภัทร์มนต์ ศักดิ์ชุศรณ์
lux_payagon@hotmail.com

ฤกษ์ดีประจำสัปดาห์

  • วันอังคารที่ 9 กรกฎาคม 2562 เวลา 12.30-14.00 น. และ 15.30-18.30 น. เหมาะติดต่อประสานงาน  เปิดตัวสินค้า ขอเครดิต เปิดร้านอาหาร ร้านโทรศัพท์มือถือ 
  • วันพุธที่ 10 กรกฎาคม 2562 เวลา 10.30-14.30 น. เหมาะซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ โอน/ไถ่ถอน ขอวีซ่า ทำบุญเสริมดวง เปิดกิจการทัวร์ การท่องเที่ยว  สถาบันติววิชา 
  • วันศุกร์ที่ 12 กรกฎาคม 2562 เวลา 12.30-14.00 น. และ 15.30-18.30 น. เหมาะเจรจาประนอมหนี้  ขอความช่วยเหลือ สมัครงานใหม่ ติดต่อเจรจากับต่างประเทศ เปิดกิจการโลจิสติกส์  เปิดโชว์รูม เปิดโรงแรม กิจการไอที กิจการขนส่ง
  • วันเสาร์ที่ 13 กรกฎาคม 2562 เวลา  9.00-10.30 น. และ 18.00-19.30 น. เหมาะต่อรองผลประโยชน์ เริ่มต้นงานใหม่ เปิดบัญขีธนาคาร ตั้งชื่อ ตั้งนามสกุลใหม่ เซ็นสัญญา เจรจาธุรกิจ เปิดกิจการโรงรับจำนำ ไฟแนนซ์ ร้านสะดวกซื้อ
ท่านที่เกิดวันอาทิตย์    
เกณฑ์ชะตาในช่วงนี้ต้องระวังในเรื่องคำพูดไว้ให้มากพูด ไม่คิดรับอาสาจะเดือดร้อนรับภาระไปอีกนาน ในด้านการงานมีเหตุให้ต้องเข้าไปใกล้ชิดสัมพันธ์กับผู้ใหญ่จนทำให้ผิดใจกับเพื่อนร่วมงาน การลงทุนควรค่อยเป็นค่อยไปจะดีกว่าทุ่มสุดตัว ในด้านการติดต่อประสานงานไม่ค่อยราบรื่นนัก การเงินแม้จะหมุนคล่องแต่ให้ระวังการถูกหยิบยืมจากคนใกล้ตัว สำหรับคนโสดเป็นช่วงที่มีคนเข้ามาให้ความสนใจหากพิจารณาไว้อาจได้คนรู้ใจเคียงข้างได้  ช่วงนี้ให้ระวังการเจ็บป่วยและอุบัติเหตุจากของมีคม

ท่านที่เกิดวันจันทร์
เกณฑ์ชะตาในช่วงนี้ เป็นช่วงที่คุณต้องเข้าสังคมมากกว่าปกติอาจทำให้เปลืองค่าใช้จ่ายบ้างและมีเกณฑ์การเดินทางไกลอย่างไม่คาดคิด  ด้านการงานราบรื่น และได้ต่อยอดงานตัวเก่า รวมถึงได้รับความร่วมมือจากเพื่อนร่วมงานและเจ้านายอย่างดี  การติดต่อประสานงานไม่ควรใจร้อนหรือตอบรับข้อเสนอง่ายๆ อาจเสียเปรียบภายหลังได้  หากมีการลงทุนต้องดูความพร้อมของตัวเองโดยเฉพาะเรื่องเงิน การทำธุรกรรมทางการเงินต่างๆ จะได้ผลดี  รวมถึงการเอ่ยปากทวงถามหนี้สินต่างๆ  มีดวงการเสี่ยงโชค ดวงความรักมีเกณฑ์เกิดรักซ้อนได้ง่ายๆ   ช่วงนี้ร่างกายอ่อนแอระวังไข้หวัด

ท่านที่เกิดวันอังคาร  
เกณฑ์ชะตาในช่วงนี้ค่อนข้างชิลๆ กับสิ่งรอบตัว มีการวางแผนท่องเที่ยว  ในด้านการงานแม้จะหนักหน่วงแต่ก็สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี และยังได้รับการตอบรับจากผู้ใหญ่ ด้านการลงทุนได้ผลมองเห็นกำไรเป็นกอบเป็นกำ แต่หากมีหุ้นส่วนต้องระวังความสะเพร่าในเรื่องต่างๆ ให้มาก ท่านที่มีบริวารช่วงวันที่ 11ไปแล้วอาจเดือดร้อนเพราะบริวารได้ การติดต่อประสานงานเจอกับคนเอาเปรียบรู้มาก การเงินคล่องมือ เหมาะลงทุนกับกองทุนต่างๆ เพื่อเก็บสะสมเงิน ความรักให้ระวังปัญหาหึงหวงเก่าๆ กลับมาให้รำคาญใจ สุขภาพระวังยกของหนักจะเกิดเจ็บป่วยได้    .

ท่านที่เกิดวันพุธ
ช่วงนี้ให้ระวังเรื่องการใช้จ่ายที่เกินงบบ้าง ด้านการงานควรอยู่ห่างๆ เว้นระยะจากผู้ใหญ่จะดีกว่าไปใกล้ชิดติดตาม เพราะมีเกณฑ์เกิดขัดแย้งกับผู้ใหญ่ได้ง่ายๆ แต่เหมาะกับการสะสางงานเก่าที่คั่งค้าง และการติดต่อประสานงานมีความก้าวหน้ารวมถึงการได้โอกาสดีๆ ในช่องทางการหารายได้เพิ่ม   การเงินนับว่ายังคล่องตัวและมีโอกาสได้เสียเงินให้กับเครื่องมือสื่อสาร ด้านความรักสดใสและอาจได้พบคนถูกใจจากการแนะนำของเพื่อนฝูง  ช่วงนี้ควรหมั่นดูแลสุขภาพให้มากกว่าเดิม ระวังเรื่องการติดเชื้อให้มากกว่าที่เคย

ท่านที่เกิดวันพุธกลางคืน 
เกณฑ์ชะตาในช่วงนี้ ค่อนข้างได้เปรียบในเรื่องหน้าที่การงานและยังมีโอกาสดีๆ ในด้านการติดต่อประสานงานต่างๆ  การลงทุนในกิจการขนาดเล็กพอจะทำกำรี้กำไรให้ได้พอสมควร แต่เป็นในระยะสั้นๆไม่ควรทุ่มสุดตัว  สำหรับในเรื่องของความรักของคนโสดที่อาจได้พบรักโดนใจแบบปิ๊งๆไปเลย การเงินนับว่าคล่องมือพอใช้และมีโอกาสเสียเงินเพราะความใจร้อน หากมีเจ้าหนี้อยู่ให้ระวังการถูกทวงถามหนี้สิน  และไม่ควรไปค้ำประกันให้ใครอาจมีปัญหาได้ภายหลัง สุขภาพแข็งแรง ให้ระวังอุบัติเหตุจากของมีคม

ท่านที่เกิดวันพฤหัสบดี
เกณฑ์ชะตาในช่วงนี้คุณต้องรอบคอบในเรื่องการเงินให้มากควรมีการบริหารจัดการให้ชัดเจนและไม่ควรรับปากช่วยเหลือใครในเรื่องเงินเพราะสถานการณ์การเงินของคุณไม่ค่อยแน่นอนสักเท่าไหร่นัก ในด้านการงานมีโอกาสดีๆ ในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการนำเสนอโครงการ การมองหางานพิเศษเพิ่มเติมรายได้ รวมถึงการติดต่อประสานงานที่อาจนำสิ่งดีๆ มาให้ในอนาคต  การลงทุนในช่วงนี้ให้ชะลอไว้ก่อนมองการตลาดให้มากกว่าเดิม  ความรักหากพูดเล่นพูดล้อกับเพศตรงข้ามให้ระวังความเข้าใจผิดจนเกิดปัญหารักซ้อนได้ สุขภาพระวังเรื่องระบบย่อยอาหารหรือสุขลักษณะของอาหารการกิน

ท่านที่เกิดวันศุกร์   
เกณฑ์ชะตาในช่วงนี้มักจะมีความยุ่งยากในเรื่องหน้าที่การงานอยู่พอสมควรเป็นช่วงที่อยู่ในการสะสางงานเก่าๆ โดยเฉพาะท่านที่มีบริวารอาจต้องพบกับความยุ่งยากกับการหมกเม็ดปัญหาต่างๆ ไว้ให้ต้องเร่งมือเคลียร์โดยด่วน ช่วงนี้ควรชะลอการลงทุนไว้ก่อน  การติดต่อประสานงานก้าวหน้า  การเงินดี อยู่ในช่วงกอบโกย และการขอสินเชื่อต่างๆ หรือพูดคุยต่อรองผลประโยชน์ประสบความสำเร็จดี ความรักสดใสและมีเกณฑ์ได้โชคจากเพศตรงข้าม  สุขภาพให้ระวังโรคประจำตัวกำเริบหรืออุบัติเหตุ จะเจ็บตัวเพราะความประมาทของตัวเอง

ท่านที่เกิดวันเสาร์
เกณฑ์ชะตาในช่วงนี้อย่าเพิ่งทำอะไรใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนหรือเริ่มโครงการอะไร หากจะต้องทำกันจริงๆ ควรให้เลยวันที่ 13 กรกฎาฯ ไปก่อนดวงชะตาจึงจะค่อยๆ ดีขึ้นบ้าง การเข้าพบผู้ใหญ่ให้ระวังเรื่องคำพูดให้มากพยายามเลี่ยงการขัดแย้งเพราะจะมีผลในระยะยาวทีเดียว  การลงทุนในกิจการใหญ่ช่วงนี้ควรชะลอไว้ก่อนรอไปสักเดือนหน้าค่อยลงมือ ความรักของคุณสดใส ด้านการเงินยังคงคล่องมือและเหมาะติดต่อขอเครดิตหรือขอสินเชื่อ  การติดต่อหรือซื้อขายหลักทรัพย์มีโอกาสได้ดั่งใจ   สุขภาพระวังระบบย่อยอาหารหรือการติดเชื้อจากไวรัสต่างๆ
Share:

อสังหาฯฝ่าปัจจัยลบ เดินหน้าลงทุนปั๊มยอดขาย



The Show Must Go On ไม่ว่าจะอย่างไร ...ก็ต้องดำเนินต่อไป ฟังดูมันเข้ากับสถานการณ์ของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในเวลานี้จริงๆ เมื่อมองไปข้างหน้า เห็นอุปสรรคขวากหนามขวางอยู่เต็มทาง แต่ถึงอย่างไรก็ต้องเดินหน้าต่อไป เมื่อบริษัทรายใหญ่ยังคงประกาศแผนลงทุนเต็มพิกัดในช่วงครึ่งปีหลัง แม้ว่าจะมีปัจจัยลบต่างๆ ขวางอยู่เต็มลำ และดูท่าว่าทั้งปีตลาดจะติดลบเกินกว่าหลัก 10%

ไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย มองว่า โอเคล่ะ ตลาดในปีนี้น่าจะติดลบ ก็หวังว่าคงจะติดลบไม่มาก และถ้ามองให้เป็นโอกาส มันก็ทำให้ซัพพลายใหม่เข้ามาน้อยลง และเป็นจังหวะที่ดี สำหรับการพัฒนาโครงการที่เน้นกลุ่มเรียลดีมานด์ ถ้าพัฒนาสินค้าในราคาที่ถูกต้อง และถูกตังค์กว่าคนอื่นๆ ก็เชื่อว่ายังคงขายได้  เมื่อมองดูยอดขายในครึ่งปีแรกก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร ทุกอย่างยัง Go On ไปตามเป้าหมาย ในครึ่งปีหลังจึงยังจัดเต็มตามแผนเดิม
ศุภาลัย ปาร์ค แยกไฟฉาย คอนโดโครงการแรกของศุภาลัยในครึ่งปีหลัง
ปีนี้ ศุภาลัยมีแผนเปิดโครงการใหม่ 31 โครงการ มูลค่ารวม 4 หมื่นล้านบาท ครึ่งปีแรกเปิดขายไปแล้ว 9 โครงการ เป็นบ้านแนวราบ 7 และคอนโดมิเนียม 2 โครงการ มูลค่ารวม 1.9 หมื่นล้านบาท ในครึ่งปีหลังจะเปิดโครงการอีก 22 โครงการ มูลค่า 2.1 หมื่นล้านบาท เป็นคอนโด 3 โครงการ อยู่ตามแนวรถไฟฟ้าที่เปิดให้บริการและกำลังจะเปิด ส่วนบ้านแนวราบ 19 โครงการ อยู่ในกทม. และภูมิภาค ประมาณครึ่ง:ครึ่ง

“บ้านแนวราบค่อยๆ ดีขึ้น หลังจากแผ่วไปในช่วงที่ออกมาตรการคุมสินเชื่อที่อยู่อาศัย ของธนาคารแห่งประเทศไทย ทำให้ลูกค้าสับสนและไม่กล่าซื้อ ตอนนี้ลูกค้าเข้าใจมากขึ้นแล้ว ซึ่งคาดว่า ในภาพรวมไตรมาสที่ 3 น่าจะดีขึ้นกว่าไตรมาส 2 แม้การคาดการของการขยายตัวของเศรษฐกิจจะถูกลดลง แต่อัตราการจ้างงานยังดีอยู่ และการลงทุนภาครัฐที่ชะลอตัวอาจจะกระทบกำลังซื้ออยู่บ้างก็ตาม แต่เมื่อรัฐบาลใหม่ตั้งหลักได้ก็น่าจะเร่งการลงทุนของรัฐต่อเนื่อง สถานการณ์ก็น่าจะดีขึ้น” ไตรเตชะ กล่าว

เช่นเดียวกับบิ๊กเนมรายอื่นๆ ที่ยังคอนเฟิร์มเดินหน้าลงทุนตามแผน ไม่เช่นนั้นผลประกอบการจะไม่เดินไปตามเป้าที่ตั้งไว้ แต่ก็พร้อมจะปรับแผนที่จำเป็น

ดร. ชัยยุทธ ชุณหะชา ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการเงิน บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในไตรมาส 2/2562 บริษัทมียอดขายกว่า 6,100 ล้านบาท เติบโต 27% จากไตรมาสแรก ส่งผลให้ครึ่งปีแรกบริษัทมียอดขายสะสมกว่า 10,915 ล้านบาท  โดยมาจากการขายโครงการเดิมที่มีอยู่ในมือเป็นหลัก ถือว่าเป็นผลการดำเนินงานที่น่าพอใจในสถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่มีความท้าทายทั้งปัจจัยภายในประเทศและต่างประเทศ และเชื่อว่าความต้องการที่อยู่อาศัยโดยเฉพาะใกล้รถไฟฟ้ายังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง

สำหรับ ในครึ่งปีแรก บริษัทได้เปิดตัวโครงการใหม่เพียง 2 โครงการ คิดเป็น 30% ของเป้าหมายยอดขายทั้งปี 2562 ที่ระดับ 36,000 ล้านบาท โดยในครึ่งปีหลังทางบริษัทมีแผนที่จะเปิดโครงการใหม่อีกหลายโครงการ โดยบริษัทมีที่ดินพร้อมพัฒนากว่า 10 แปลง สำหรับเตรียมเปิดโครงการคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้าตอบสนองความต้องการของลูกค้าในราคาที่สามารถจับจองเป็นเจ้าของได้ ได้แก่ สามย่าน สุขุมวิท ทองหล่อ เป็นต้น  ซึ่งจะส่งผลให้ยอดขายเติบโตเพิ่มขึ้นตามเป้าหมายที่วางไว้

“อย่างไรก็ตาม ความท้าทายของตลาดอสังหายังคงมีอยู่ ทั้งจากปัจจัยภายในประเทศและภายนอกประเทศ โดยบริษัทได้เตรียมพร้อมปรับแผนธุรกิจหากมีความจำเป็นเพื่อรักษาเสถียรภาพในระยะยาว ทั้งนี้แผนธุรกิจทั้งหมดของบริษัทนั้น ยังคงสนับสนุนการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และเน้นย้ำการเป็นผู้นำในตลาดคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้าในประเทศไทย พร้อมทั้งยังคงรักษาวินัยทางการเงินไว้อย่างเข้มงวด โดยจะรักษาอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อทุนไว้ที่ 1 เท่า เป็นเป้าหมายระยะยาว และเราต้องมั่นใจว่าการเติบโตของบริษัทจะไม่เพิ่มความเสี่ยงซึ่งมีผลกระทบต่อความมั่นคงของบริษัทในระยะยาว” ดร. ชัยยุทธ กล่าว

ด้าน บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ได้ประกาศผลงานครึ่งปีแรก โดยมียอดขายแล้ว 20,800 ล้านบาท และกำลังก้าวสู่เป้ายอดขายรวม 41,800 ล้านบาท เติบโตกว่า 20% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ด้วยการบุกตลาดทั้งแนวราบและแนวสูงครึ่งปีหลัง

นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กรและการสร้างสรรค์ เอพี (ไทยแลนด์) กล่าวว่า แม้ภาพรวมของธุรกิจอสังหาฯ ครึ่งปีแรกจะมีหลายปัจจัยทั้งเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว หรือมาตรการควบคุมภายในประเทศที่กระทบบรรยากาศการซื้อขาย แต่เชื่อว่าดีมานด์ลูกค้าที่มองหาที่อยู่อาศัยยังมีอยู่ แต่เป็นดีมานด์ที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น ‘โลเคชั่น’ ‘แบบบ้าน’ และ ‘แพ็คเกจราคา’ ต้องใช่ถึงตัดสินใจซื้อ

“ความท้าทายของผู้ประกอบการอสังหาฯ ในวันนี้คือการพัฒนาทั้งรูปแบบและแพ็คเกจราคา บนพื้นฐานความต้องการจริงและความสามารถในการผ่อนชำระของลูกค้า โดยการดำเนินงานในครึ่งปีแรก ภายใต้กลยุทธ์การรบยาวเปิดตัวทุกแบรนด์ในเครือ พัฒนาโปรดักซ์ตอบโจทย์เฉพาะเจาะจงแต่ละเซ็กเมนต์ ส่งผลภาพรวมยอดขายของเอพีไปได้สวย สวนกระแสภาพรวมตลาดที่ค่อนข้างชะลอตัวในครึ่งปีแรก”

สำหรับ ยอดขายรวมครึ่งปีแรกกว่า 20,800 ล้านบาท (ณ 30 มิถุนายน 62)  แบ่งเป็น ยอดขายจากคอนโดมิเนียม มูลค่า 9,500 ล้านบาท และ แนวราบมูลค่า 11,300 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 20% เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนที่ 17,265 ล้านบาท และได้เปิดตัวโครงการใหม่ไปแล้วสิ้น 17 โครงการ มูลค่ารวม 30,785 ล้านบาท ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าที่เป็นเรียลดีมานด์

“ในส่วนของธุรกิจอสังหาฯ ครึ่งปีหลัง เชื่อว่าผู้ประกอบการทุกรายต่างเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์ตลาดอย่างใกล้ชิด อย่างไรก็ตามเชื่อว่าจะมีปัจจับบวกที่จะเข้ามากระตุ้นความเชื่อมั่นและบรรยากาศการซื้อขายอสังหาฯ ในครึ่งปีหลัง อาทิ การจัดตั้งรัฐบาล และการฟอร์มทีมดูแลด้านนโยบายเศรษฐกิจของประเทศอย่างชัดเจน โดยคาดว่า อานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ จะเข้ามากระตุ้นภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศให้กลับมาเติบโตอีกครั้ง” นายวิทการ กล่าวเสริม
THE SONNE ศรีนคริทร์-บางนา บ้านแบรนด์ใหม่ของเอพี
ทั้งนี้ แผนการเปิดโครงการใหม่ในครึ่งปีหลัง เอพีจะยังคงดำเนินงานตามแผนที่วางไว้ ด้วยการเปิดตัว 23 โครงการใหม่ มูลค่า 27,265 ล้านบาท เป็นทาวน์โฮม 12 โครงการ มูลค่า 9,250 ล้านบาท บ้านเดี่ยว 10 โครงการ มูลค่า 11,715 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม 1 โครงการ มูลค่า 6,300 ล้านบาท สำหรับไฮไลท์ครึ่งปีหลัง คือการเปิดแบรนด์ใหม่บ้านแนวราบภายใต้ชื่อ THE SONNE ศรีนคริทร์-บางนา มูลค่า 600 ล้านบาท และการเปิดคอนโดมิเนียม LIFE SATHORN SIERRA มูลค่า 6,300 ล้านบาท

ด้านนายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในช่วงไตรมาส 2/2562 ที่ผ่านมา บริษัทสามารถสร้างยอดขายได้อย่างยอดเยี่ยมถึง 7,290 ล้านบาท โดยขณะนี้ยอดขายสะสมของบริษัทในครึ่งปีแรกคือ 13,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น  46% ของเป้าหมายทั้งปี จากการเปิดโครงการใหม่ที่เปิดตัวในช่วงไตรมาส 2 จำนวน 2 โครงการ ได้แก่ 1. โครงการดิ ออริจิ้น ราม 209 อินเตอร์เชนจ์ และ 2. โครงการพาร์ค ออริจิ้น จุฬา-สามย่าน สามารถสร้างยอดขายได้เหนือความคาดหมาย

จากปริมาณยอดขายและกระแสตอบรับจากผู้บริโภคที่ยังคงเป็นไปอย่างยอดเยี่ยม ทำให้บริษัทมีความมั่นใจในการเปิดตัวโครงการใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงไตรมาสที่ 3/2562 บริษัทจะเปิดตัวโครงการใหม่อีกประมาณ 6 โครงการ ได้แก่ โครงการพาร์ค ออริจิ้น ราชเทวี โครงการเคนซิงตัน ดิสทริค ระยอง โครงการภายใต้แบรนด์ดิ ออริจิ้นอีก 3 โครงการใน 3 ทำเลศักยภาพ ได้แก่ รัชดา ลาดพร้าว และสุขุมวิท และโครงการบ้านจัดสรร บริทาเนีย บางนา-สุวรรณภูมิ 1 โครงการ คิดเป็นมูลค่าโครงการรวมกว่า 8,100 ล้านบาท

“ครึ่งปีหลังของปีนี้ เรายังมีโครงการที่รอเปิดตัวอีกจำนวนมากในทุกเซ็กเมนท์ครอบคลุมทั้งคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรร รวมถึงยังมีแคมเปญอีกหลายอย่างที่รอเปิดตัว เริ่มจากของแบรนด์ดิ ออริจิ้น ที่จะเปิดตัวคอนเซ็ปต์ของแบรนด์พร้อมแคมเปญการตลาดอย่างเป็นทางการ ในวันที่ 11 ก.ค.นี้ เชื่อว่าจะตอบโจทย์ความต้องการที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคในทุกระดับ และส่งผลให้ยอดขายในปี 2562 เป็นไปตามเป้าหมาย 28,000 ล้านบาท” นายพีระพงศ์ กล่าว

คงต้องตามลุ้นกันต่อว่า แผนการที่แต่ละบริษัทมั่นใจว่าจะไปได้สวยในไตรมาสที่ 3 และ ไตรมาสที่ 4 นั้น จะเป็นไปตามที่คาดหวังหรือไม่ เมื่อปัจจัยด้านลบยังมีมากกว่าปัจจัยด้านบวกแต่ละรายจะปล่อยหมัดเด็ดอะไรเพื่อพิชิตยอดขายในครึ่งปีหลัง หรือจะต้องพับปรับแผนกันในโค้งสุดท้ายคงต้องคอยติดตามกันครับ

Share:

6 เดือนแรกปี 62 คอนโดใหม่หดตัว 20%





คอลลิเออร์ส เผยครึ่งปีแรกคอนโดเปิดตัวลดลง 20% ชี้ผู้ประกอบการเน้นระบายสต๊อกเก่า หนีมาตรการคุมสินเชื่อ 3 สถานีรถไฟฟ้า ปุณณวิถี เอกมัย พระราม 9 โครงการใหม่พรึบ

นายภัทรชัย ทวีวงศ์  ตำแหน่ง รองผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัย คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย กล่าวว่า ในช่วงครึ่งแรกของปี 2562 มีคอนโดมิเนียมเปิดขายใหม่ประมาณ 45 โครงการ  18,075 ยูนิต มูลค่าการลงทุนรวม 120,302 ล้านบาท  โดยจำนวนการเปิดตัวน้อยกว่าในช่วงเวลาเดียวกันของปี 2561 ประมาณ  4,486 ยูนิต หรือคิดเป็น 19.9%

จากข้อมูลพบว่า ในช่วงไตรมาสที่ 1 ปี 2562 ผู้ประกอบการเน้นการระบายสต็อกคงค้างเพื่อให้ลูกค้าสามารถโอนกรรมสิทธิ์ได้ก่อนที่มาตรการกำกับดูแลสินเชื่อที่อยู่อาศัยของทางธนาคารแห่งประเทศไทยจะประกาศใช้ จึงไม่ค่อยเปิดตัวโครงการใหม่มากนัก

ส่วนในช่วงไตรมาสที่ 2 ที่ผ่านมา ช่วง 2 เดือนแรกผู้ประกอบการก็ยังคงไม่เปิดตัวโครงการใหม่ เนื่องจากส่วนใหญ่จะรอเปิดตัวโครงการหลังจากการเลือกตั้งครั้งใหม่เสร็จสิ้น เพื่อรอความชัดเจนสำหรับรัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามาบริหารประเทศ และเริ่มทยอยเปิดตัวโครงการใหม่กันเป็นจำนวนมากในช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา
คอนโด

ในเดือนสุดท้ายของไตรมาสที่ 2 พบว่า มีคอนโดมิเนียมเปิดขายใหม่สูงถึง 5,100 ยูนิต จากหน่วยเปิดขายใหม่ทั้งหมดในช่วงไตรมาสที่ 2 ที่ประมาณ 9,632 ยูนิต หรือคิดเป็น 52.94% แม้ว่าจะมีปัจจัยลบต่างๆ มากมาย แต่ผู้ประกอบการจำเป็นที่จะต้องทยอยเปิดตัวโครงการใหม่ เนื่องจากหากชะลอออกไปจะกระจุกตัวอยู่ในช่วงครึ่งปีหลังซึ่งอาจจะเป็นปัญหาสำหรับผู้ประกอบการต่อไป

จากข้อมูลพบว่า ในช่วงครึ่งแรกของปี 2562  ผู้ประกอบการให้ความสนใจพัฒนาคอนโดมิเนียมตามแนวรถไฟฟ้า BTS สายปัจจุบัน ประมาณ 7,403 ยูนิต คิดเป็น 40.95% ของคอนโดมิเนียมที่เปิดขายใหม่ในช่วงครึ่งแรกของปีทั้งหมด ส่วนตามแนวรถไฟฟ้า MRT มีโครงการเปิดตัวอีกประมาณ 3,094 ยูนิต หรือคิดเป็น 17.10% ส่วนแนวรถไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างมีคอนโดเปิดใหม่อีกประมาณ 7,578 ยูนิต หรือคิดเป็น 41.95%

สำหรับสถานีที่มีโครงการคอนโดเปิดตัวมากที่สุด ได้แก่ สถานี BTS ปุณณวิถี ที่ประมาณ 1,161 ยูนิต รองลงมา คือ รอบๆ สถานี BTS เอกมัย ที่ประมาณ 1,148 ยูนิต และ รอบๆ สถานี MRT พระราม 9 อีกประมาณ 1,025 ยูนิต

Share:

เศรษฐกิจชะลอตัว-LTV ฉุดตลาดอสังหาฯซึมยาว



ปิดครึ่งปีแรกไปด้วยความหงอยเหงาสำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ปี 2562 ด้วยเพราะปัจจัยลบทั้งในและนอกที่รุมเร้ายืดยาวเป็นหางว่าวทำเอาตลาดชะงักไปพอสมควร โชคยังดีที่ไตรมาสแรกยังเก็บรายได้จากการเร่งขาย เร่งโอน ก่อนถูกคุมด้วยมาตรการกำกับดูแลสินเชื่อที่อยู่อาศัยกันได้อยู่พอควร ทำให้รวม 2 ไตรมาสของครึ่งปีแรกตัวเลขติดลบยังพอกัดฟันยอมรับได้

แต่ถ้ามองไปในครึ่งปีหลัง คงต้องนั่งหายใจกันลึกๆ เพราะอยากที่บอกว่า ปัจจัยลบมียืดยาวเป็นหางว่าว แถมยังมองหาปัจจัยบวกยังไม่เจอ งานนี้ผู้ประกอบการหลายรายถึงกับถอดใจขอปรับเข้าโหมดรักษาตัวให้รอดไปถึงปีหน้าเป็นพอ หลังจากคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้หั่นประมาณการการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยจาก 3.8% เหลือ 3.3% พร้อมกับให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.75% ต่อปี

ปัญหาใหญ่คือ เศรษฐกิจไทยไม่เดินหน้าแต่กลับถอยหลังขยายตัวต่ำกว่าที่ประเมินกันไว้จากการค้าการส่งออกและการท่องเที่ยวที่ขยายตัวต่ำกว่าที่คาดการณ์ รวมถึงรายได้และการจ้างงานที่มีสัญญาณชะลอตัวลงในภาคการผลิตเพื่อส่งออก การลงทุนภาคเอกชนมีแนวโน้มขยายตัวชะลอลง และการใช้จ่ายภาครัฐก็มีแนวโน้มขยายตัวต่่ากว่าที่ประเมินไว้เช่นกัน ขณะที่สงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐแม้จะประกาศพักรบกันไปอีกรอบ แต่ก็ยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะการเจรจามีโอกาสจะเป็นได้ทั้งข่าวดี และข่าวร้าย

นอกจากนี้ มาตรการกำกับดูแลสินเชื่อที่อยู่อาศัยของธนาคารแห่งประเทศไทยมีผลทั้งทางตรงและทางอ้อมที่ทำให้ตลาดวูบไปมากในไตรมาสที่ 2 โดยธนาคารแห่งประเทศไทยได้ประเมินสถานการณ์เบื้องต้นมาแล้วว่า ยอดปล่อยสินเชื่อใหม่สำหรับผู้กู้บ้านหลังที่ 2 ขึ้นไปลดลง 23% นั่นคือผลทางตรง ส่วนผลทางอ้อมคือ ความไม่รู้ หรือไม่เข้าใจของผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งลูกค้า ผู้ประกอบการ หรือธนาคารพาณิชย์ ทำให้เกิดชะลอการตัดสินใจ หรือปฏิเสธสินเชื่อก็มีอยู่จำนวนมาก

ทั้งหมดคือต้นสายปลายเหตุที่ทำให้ตลาดอสังหาฯในครึ่งปีแรกไม่สดใส และในครึ่งปีหลังจะยิ่งหนักกว่า ถ้ารัฐบาลใหม่ยังไม่เข้ามาทำอะไรให้ความเชื่อมั่นต่างๆ กลับคืนมา

ศก.-LTV ป่วน อสังหาฯปี 62 ทรุด
เรื่องนี้ นายอธิป พีชานนท์ นายกกิตติมศักดิ์ สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร ประเมินว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ครึ่งแรกของปี 2562 จะติดลบในทุกๆ ด้าน ทั้งในเรื่องของการเปิดโครงการ การขาย และเรื่องของยอดโอน เนื่องมาจากปัจจัยทั้งเรื่องสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน ความไม่เชื่อมั่นในเรื่องภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศไทย ผลกระทบจากมาตรการควบคุมสินเชื่อ

ประกอบกับเรื่องหนี้ครัวเรือนที่ยังคงอยู่ในระดับที่สูง ทำให้สถาบันการเงินเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัย โดยภาพรวมคาดว่าตลาดรวมจะติดลบประมาณ 15% แต่หากแยกเป็นประเภทที่อยู่อาศัยแล้ว ตลาดประเภทอาคารชุดพักอาศัยจะติดลบประมาณ 20% ที่อยู่อาศัยแนวราบติดลบประมาณ 10

อย่างไรก็ตาม ในภาพรวมครึ่งปีแรกนั้น ตลาดจะไม่ได้ชะลอตัวลงมาก เนื่องจากได้รับอานิสงส์อย่างมากจากยอดขายและยอดโอนโครงการในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2562 (ม.ค.-มี.ค.) ก่อนที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะเริ่มใช้มาตรการกำกับดูแลสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ในวันที่ 1 เมษายน ซึ่งถือเป็นสถานการณ์ที่ไม่ปกติ

"เรากำลังหารือกับทาง 3 สมาคมอสังหาริมทรัพย์ว่าจะดำเนินการอย่างไร เพื่อสร้างความเชื่อมั่น นอกจากนี้ยังเป็นห่วงเรื่องเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ทำให้ราคาอสังหาริมทรัพย์ของไทยมีราคาแพงขึ้น แต่หากมีการผ่อนปรนเรื่องนโยบายดอกเบี้ย โดยการลดดอกเบี้ยลงมาจะส่งผลให้เงินบาทของไทยอ่อนค่าลงได้"

คาดตลาดซึมยาว รอปีหน้ารอฟื้นตัว
ด้านนายปริญญา เธียรวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วี.เอ็ม.พี.ซี. จำกัด (VMPC) ผู้นำธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ทั้งเพื่อขายและให้เช่า เปิดเผยว่า สถานการณ์เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีแรก 2562 อยู่ในภาวะชะลอตัว ส่งผลให้ภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ซบเซา แม้ว่าทางภาครัฐจะออกมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ แต่เกิดประโยชน์ต่อผู้ประกอบการเพียงบางกลุ่มเท่านั้น

สำหรับมาตรการกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ถือเป็นเป็นมาตรการที่ดีสำหรับประเทศไทย แต่ในแง่ของภาคอสังหาริมทรัพย์โดยรวมแล้วคงต้องใช้ระยะเวลาในการปรับตัวอีกระยะหนึ่ง และในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2562 คาดการณ์ว่าภาพรวมเศรษฐกิจไทยและธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะยังไม่ฟื้นตัว เนื่องจากยังมีปัจจัยเสี่ยงจากสภาวะเศรษฐกิจโลกที่อยู่ในภาวะชะลอตัว อย่างไรก็ตาม คาดว่าปี 2563 ภาพรวมเศรษฐกิจไทยและธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น

นายปริญญา กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับบริษัทซึ่งประกอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ทั้งขายและให้เช่า โดยปัจจุบัน VMPC มีสัดส่วนรายได้จากอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย 60% และอสังหาริมทรัพย์ให้เช่า 40%
เพื่อการบริหารจัดการและการกระจายความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ โดยในส่วนของอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย เน้นเจาะตลาดระดับบนหรือกลุ่มไฮเอนด์ บนทำเลศักยภาพ สำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้เช่าจะมีความหลากหลาย

มั่นใจเจาะเรียลดีมานด์ยังไปต่อได้
ขณะที่นายชยพล หรรรุ่งโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อัลติจูด ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด กล่าวว่า ตั้งแต่ปลายปีที่แล้วจนถึงครึ่งแรกของปีนี้ถือว่าสถานการณ์หนักมาก จึงคาดว่า ครึ่งปีหลังคงไม่หนักไปกว่านี้แล้ว การแข่งขันในตลาดอยู่ที่ตัวโปรดักต์ว่าใครจะตอบโจทย์ผู้บริโภคทั้งในเรื่องของไลฟ์สไตล์ที่ลงลึกไปในหลายมิติ รวมถึงการช่วยลดต้นทุนการใช้ชีวิตให้กับลูกค้าได้

ขณะที่ นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย กลับเห็นว่า แม้ว่าสถานการณ์จะไม่ดี ตลาดมีโอกาสที่จะติดลบซึ่งก็หวังว่าจะติดลบไม่มากนัก แต่ถ้ามองในแง่ดีซัพพลายที่จะเข้าสู่ตลาดก็จะลดน้อยลงไปด้วย และเป็นตลาดที่เป็นเรียลดีมานด์ ถ้าสามารถพัฒนาโครงการที่จับกลุ่มที่มีความต้องการที่แท้จริง ในราคาที่ถูกต้องเหมาะสมก็เชื่อว่าจะยังขายได้

สำหรับในครึ่งปีหลัง บริษัทยังคงเปิดตัวโครงการใหม่รวม 22 โครงการ มูลค่ารวม 2.1 หมื่นล้านบาท เป็นบ้านแนวราบ 19 โครงการทั้งในกทม. ปริมณฑล และต่างจังหวัด และคอนโดมิเนียมอีก 3 โครงการ โดยล่าสุดได้เปิดตัวโครงการศุภาลัย ปาร์ค สถานีแยกไฟฉาย เป็นคอนโด บนเนื้อที่ 6 ไร่ มูลค่าโครงการ 2,270 ล้านบาท จับกลุ่มผู้ที่ต้องการอยู่อาศัยจริง และซื้อเพื่อลงทุนปล่อยเช่า เพราะอยู่ไม่ไกลจากโรงพยาบาลศิริราช

โครงการดังกล่าว แบ่งเป็นอาคารชุดพักอาศัย สูง 22 ชั้น (รวมดาดฟ้า) 2 อาคาร สไตล์โมเดิร์น จำนวนห้องชุดพักอาศัย 726 ยูนิต (Tower A  จำนวน 374 ยูนิต และ Tower B จำนวน 352 ยูนิต) ขนาดห้องตั้งแต่ 29.5-74.5 ตารางเมตร ราคาขายเริ่มต้นที่ 60,500-72,000 บาทต่อตารางเมตร ราคาขายต่อยูนิตเริ่มต้นที่ 2.03 ล้านบาท โดยจะเปิดขายในวันที่ 20-21 กรกฎาคมนี้

ครึ่งปีหลังคอนโดจ่อเปิดใหม่ 2 หมื่นยูนิต
ด้านนางนลินรัตน์ เจริญสุพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด เผยว่า ภาพรวมคอนโดมิเนียมเปิดใหม่ในครึ่งปีแรก 2562 มีจำนวนทั้งสิ้น 23,600 หน่วย ใกล้เคียงกับตัวเลข      ครึ่งปีแรก 2561 เฉพาะไตรมาส 2 มีโครงการคอนโดมิเนียมเปิดใหม่ 12,300 หน่วย จาก 30 โครงการ โดยมีโครงการในระดับลักชัวรี่ และซูเปอร์ลักซูรี่ในทำเลซูเปอร์ไพรม์เกิดใหม่หลายโครงการ โดยเฉพาะทำเลสาทร วิทยุ และหลังสวน

จับตามองในช่วงไตรมาส 3 จนถึงสิ้นปี ยังมีโครงการใหม่ๆ เตรียมเปิดตัวอีกหลายโครงการ  ถ้านับเฉพาะผู้ประกอบการในตลาดหลักทรัพย์มีมากกว่า 14,000 หน่วย จาก 44 โครงการ และหากรวมคอนโดมิเนียมจากผู้ประกอบการรายย่อยที่ประกาศตัวว่า จะเปิดขายในครึ่งปีหลังด้วยแล้ว น่าจะมีคอนโดมิเนียมเกิดขึ้นในตลาดอีกไม่ต่ำกว่า 52 โครงการ มากกว่า 20,000 หน่วย

ทำเลที่คอนโดมิเนียมใหม่จะเปิดมากกว่าครึ่งเป็นทำเลใจกลางเมือง โดยเฉพาะทำเล สามย่าน พญาไท ราชเทวี นอกจากนี้ ทำเลสุขุมวิท ทองหล่อ และหลังสวน ก็จะมีอีกหลายโครงการ และด้วยทำเลที่ค่อนข้างดีมาก เป็นที่ดินแปลงหายาก ซึ่งส่วนใหญ่ซื้อมาตั้งแต่ปีที่แล้ว ทำให้ราคาขายในคอนโดมิเนียมใหม่เหล่านี้ ปรับตัวสูงขึ้นจากราคาเฉลี่ยคอนโดมิเนียมใจกลางเมืองที่เปิดตัวเมื่อปีที่แล้วอีกพอสมควร คาดว่าไม่ต่ำกว่า 10%

ตลาดในช่วงครึ่งปีหลังคงจะขับเคี่ยวกันอย่างเข้มข้น ทั้งของเก่าที่มีอยู่และของใหม่ที่กำลังจะออกมา ดูแค่ครึ่งปีแรกก็ลดแลกแจกแถมอยู่ฟรี กินฟรีกันสะบั้นหั่นแหลกแล้ว ถ้าเศรษฐกิจยังไม่พลิกฟื้น ความเชื่อมั่นยังไม่คืนกลับ ตลาดอสังหาฯครึ่งปีหลังคงทะลุจุดเดือดแน่นอน







Share:

บริษัทรายกลางผนึกทุนญี่ปุ่นเสริมเขี้ยวเล็บสู้ศึกอสังหาฯ



ในรอบหลายปีที่ผ่านมาทุนใหญ่จากประเทศญี่ปุ่นได้เข้ามาขยายฐานธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในไทย เนื่องจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในญี่ปุ่นถึงจุดอิ่มตัว ผลตอบแทนต่ำจึงจำเป็นต้อง search for yield เพื่อการค้นหาผลตอบแทนที่สูงกว่าในประเทศอื่นๆ ซึ่งไทยคือเป้าหมายหนึ่ง เพราะมีความโดดเด่นในฐานะเมืองศูนย์กลางของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ทัพใหญ่จากญี่ปุ่น เช่น มิตซูบิชิ, มิตซุย, ซูมิโตโม, โนมูระ, โตคิว, อิโตชู, ฮันคิว ฮันชิน, นิชิเทตสึ เป็นต้น ได้กรีธาทัพเข้าสู่สมรภูมิอสังหาริมทรัพย์เมืองไทยโดยการเข้าร่วมลงทุนกับบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ไทยในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทไทยเดินหน้าพัฒนาโครงการทั้งคอนโดมิเนียม บ้านเดี่ยวกันไปแล้วมูลค่านับแสนล้านบาท คราวนี้ถึงคิวที่บริษัทรายกลาง-รายเล็กจะได้เสริมทัพเพิ่มศักยภาพกันบ้าง

ล่าสุด บริษัท อัลติจูด ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ได้ร่วมลงทุนกับ ครีทกรุ๊ป (Creed Group) บริษัทลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์จากญี่ปุ่น พัฒนาโครงการ อัลติจูด ยูนิคอร์นสาทร–ท่าพระ คอนโดมิเนียมย่านตลาดพลู เป็นโครงการนำร่องก่อนที่จะขยายการลงทุนไปในโครงการอื่นๆ ต่อไป

“การร่วมกับพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ระดับโลกเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์สำคัญที่จะทำให้บริษัทเติบโตอย่างก้าวกระโดด ซึ่งการร่วมทุนกันครั้งนี้ สิ่งสำคัญคือ ความต้องการที่ตรงกัน ซึ่งที่ผ่านมา ครีทกรุ๊ป เน้นการลงทุนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นตลาดหลัก และมีเป้าหมายหลักคือการเติบโตในภูมิภาคนี้
อัลติจูด ยูนิคอร์น คอนโดร่วมทุนระหว่างอัลติจูด ดีเวลลอปเม้นท์กับ ครีท กรุ๊ป
โดยมีการลงทุนในมาเลเซีย กัมพูชา เวียดนาม เมียนมา อินโดนีเซีย สปป.ลาว และบังคลาเทศ นับเป็นมูลค่าการพัฒนาโครงการรวมแล้วกว่า 800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จึงมีความเข้าใจตลาดในภูมิภาคเป็นอย่างดี และไทยคือตลาดที่ใหญ่ที่สุดที่ครีทต้องการเข้ามาลงทุนหลังจากศึกษาตลาดมาหลายปี” ชยพล หรรรุ่งโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อัลติจูด ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด กล่าวถึงการร่วมทุนในครั้งนี้

การร่วมทุนในครั้งนี้ นอกจากเม็ดเงินในการลงทุนแล้ว อัลติจูด ยังได้นำแนวคิดการออกแบบในสไตล์ญี่ปุ่นมาใช้ในการออกแบบคอนโดมิเนียม โดยเฉพาะในเรื่องของฟังก์ชั่นการใช้สอยในพื้นที่ที่มีอยู่จำกัด นอกจากนี้ ครีทกรุ๊ป ยังมีเครือข่ายพันธมิตรด้านการตลาดในภูมิภาคที่แข็งแรงมากซึ่งจะเป็นประโยชน์ในด้านตลาดต่างประเทศของบริษัท

ขณะที่ โตชิฮิโกะ มูเนโยชิ ผู้ก่อตั้งและกรรมการผู้จัดการ ครีท กรุ๊ป กล่าวว่า บริษัทได้ศึกษาตลาดอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยเป็นเวลา 5 ปี และใช้เวลา 2 ปีในการหาพันธมิตรที่เหมาะสม การร่วมทุนกับ อัลติจูด ดีเวลลอปเม้นท์ ซึ่งเป็นบริษัทอสังหาฯรายกลางที่มีศักยภาพในการเติบโต มีความแตกต่างจากบริษัทอื่นๆ เป็นคนรุ่นใหม่ที่มีแนวทางการพัฒนาที่สร้างสรรค์ และฉีกแนวออกไป ซึ่งบริษัทก็พร้อมที่จะเติบโตร่วมกับอัลติจูด ดีเวลลอปเม้นท์ ในการพัฒนาโครงการต่อๆ ไป 

Loft One Plus ดีไซน์สไตล์ญี่ปุ่นเน้นฟังก์ชั่นใช้สอย


“เราอยากเชื่อมต่อระหว่างญี่ปุ่นกับไทยเข้าด้วยกันในเรื่องของอสังหาริมทรัพย์ การบริหารทรัพย์สิน และการลงทุน ซึ่งที่ผ่านมาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในไทยเติบโตมาอย่างต่อเนื่อง และไม่คิดว่าจะเติบโตได้เร็วมาก บริษัทจึงให้ความสนใจลงทุนในไทยเป็นนพิเศษ” มูเนโยชิ กล่าว

สำหรับโครงการ อัลติจูด ยูนิคอร์นสาทร-ท่าพระ ซึ่งเป็นโครงการแรกที่ร่วมทุน เป็นคอนโดมูลค่า 2,400 ล้านบาทสูง 34 ชั้น อยู่ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส ตลาดพลู บนที่ดินกว่า 2 ไร่  จำนวน 711 ยูนิต ขนาดห้องเนื้อที่ตั้งแต่ 23.64-69.28 ตารางเมตร มีราคาเริ่มต้นที่ 2.19 ล้านบาท หรือราคาเฉลี่ย 100,000 บาทต่อตารางเมตร  โดยจะเริ่มก่อสร้างในช่วงไตรมาส 3 ปี 2562 และคาดการก่อสร้างจะแล้วเสร็จในไตรมาส 3 ปี 2564

ก่อนหน้าที่ ครีท กรุ๊ป จะร่วมลงทุนกับบริษัทรายกลางๆ อย่าง อัลติจูด ดีเวลลอปเม้นท์ ก็มีเคสการร่วมทุนของบริษัทรายกลาง-รายเล็กมาบ้างแล้ว อย่างเช่น การร่วมทุนระหว่าง ชินวะ กรุ๊ป จากเมืองโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น กับบริษัท บริษัท วรลักษณ์ พร๊อพเพอร์ตี้ พัฒนาคอนโดฯ รูเนะสุ ทองหล่อ 5 และร่วมทุนกับบริษัท พรีบิลท์ โดยดึง Pressance Corporation บริษัทอสังหาฯญี่ปุ่นอีกรายมาร่วมพัฒนาคอนโด เร็น สุขุมวิท 39
การร่วมทุนระหว่างรีโว เอสเตทของไทยกับซีอาร์สโฮมจากญี่ปุ่น
ขณะเดียวกัน บริษัท รีโว เอสเตท บริษัทอสังหาฯที่เพิ่งเปิดตัวในปี 2558 ได้ร่วมทุนกับบริษัท ซีอาร์ส โฮม จำกัด ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์จากจังหวัดคูมะโมโต้ ประเทศญี่ปุ่น และ บริษัท กลอรี่ไทฟูน จำกัด พัฒนาโครงการทาวน์โฮมดีไซน์ Modern Japanese เรซิโอ-โฮม  วงแหวน-รามอินทรา ภายใต้แนวคิด  "Exclusive Japanese Sensational Living" ด้วยการนำนวัตกรรมการออกแบบโดยใช้หลักแนวคิด Henko Space ที่ทุกตารางเมตรของบ้านสามารถปรับฟังก์ชั่นได้อย่างลงตัวมาใช้

เคอิสึเกะ อะสึกะ กรรรมการบริษัท ซีอาร์ส โฮม จำกัด ประเทศไทย กล่าวว่า ทางซีอาร์ส โฮม ได้มีการติดตามสถานการณ์การพัฒนาธุรกิจในด้านต่างๆ ของประเทศไทยมาอย่างต่อเนื่อง และเล็งเห็นว่า ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และการพัฒนาที่อยู่อาศัยในประเทศไทยมีการพัฒนาตลอดเวลา มีโครงการขึ้นใหม่จำนวนมาก
เรซิโอ-โฮม  วงแหวน-รามอินทรา ภายใต้แนวคิด  Exclusive Japanese Sensational Living
ประกอบกับการขยายตัวของระบบสาธารณูปโภคต่างๆ ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้สนใจมาลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ในเมืองไทย จึงได้เริ่มสำรวจดูหลายๆ โครงการ รวมถึง โครงการของรีโว เอสเตท ด้วย มีความประทับใจในโครงการ รวมถึงความเป็นมืออาชีพของผู้บริหารและทีมงาน จึงได้มีการเจรจาเพื่อร่วมทุน โดยมั่นใจว่าจะร่วมกันพัฒนาโครงการให้เติบโตต่อไปได้เป็นอย่างดี

การขยายการลงทุนของอสังหาฯญี่ปุ่นในไทยคงจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและถือเป็นโอกาสที่ดีของอสังหาฯ รายกลาง รายเล็กของไทยที่มีมาตรฐานแบบมืออาชีพ อาจจะเตะตาต้องใจได้พันธมิตรญี่ปุ่นมาเสริมสร้างความแข็งแกร่งทั้งด้านการเงินและนวัตกรรมการอยู่อาศัย ให้ยืนหยัดในตลาดสู้กับรายใหญ่ได้แบบสมน้ำสมเนื้อมากขึ้น


Share:

เกี่ยวกับฉัน

รูปภาพของฉัน
เคยทำงานสื่อสารมวลชนสายเศรษฐกิจ อสังหาริมทรัพย์ และการตลาด มายาวนานกว่า 25 ปี กับหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ โพสต์ทูเดย์ และเว็บไซต์ Baania

ติดตามผ่าน Facebook

คลิปวิดีโอน่าสนใจ

ข่าวฮอต

Upgrade 25 ทำเลทั่วกรุงรองรับโครงข่ายรถไฟฟ้า(ตอนที่ 1)

ในร่างผังเมืองรวมกรุงเทพฯฉบับปรับปรุงครั้งที่ 4 จะมี 25 พื้นที่ทั่วกรุงเทพฯ ที่ได้ถูกปรับสีการใช้ประโยชน์ที่ดินอัพเลเวลให้เข้มข้นขึ้น เพ...

ค้นหาบล็อกนี้

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

Translate