เรียนผู้ติดตามเว็บไซต์ thaipropertymentor และ เฟซบุ๊กเพจ property mentor ทีมงานจะขอแจ้งให้ทราบว่า เราได้ย้ายเว็บไซต์ไปอยู่ที่ www.thaipropertymentor.com แต่ยังพร้อมด้วยเนื้อหาสาระด้านอสังหาริมทรัพย์ที่อัดเน้นเหมือนเช่นเคย เพิ่มเติมคือ ลิงค์ค้นหาบ้านกับ baania เพื่อตอบสนองผู้ที่ต้องการค้นหาที่อยู่อาศัยแบบล้ำๆ ฝากติดตามกันเหมือนเคยด้วย subscribe ที่อยู่ด้านล่างของเพจ และอย่าลืมกดติมตามใน facebook property mentor ด้วยนะครับ ขอบคุณครับผม...วราพงษ์ ป่านแก้ว
Property Mentor เปลี่ยนที่อยู่ใหม่ครับ
เรียนผู้ติดตามเว็บไซต์ thaipropertymentor และ เฟซบุ๊กเพจ property mentor ทีมงานจะขอแจ้งให้ทราบว่า เราได้ย้ายเว็บไซต์ไปอยู่ที่ www.thaipropertymentor.com แต่ยังพร้อมด้วยเนื้อหาสาระด้านอสังหาริมทรัพย์ที่อัดเน้นเหมือนเช่นเคย เพิ่มเติมคือ ลิงค์ค้นหาบ้านกับ baania เพื่อตอบสนองผู้ที่ต้องการค้นหาที่อยู่อาศัยแบบล้ำๆ ฝากติดตามกันเหมือนเคยด้วย subscribe ที่อยู่ด้านล่างของเพจ และอย่าลืมกดติมตามใน facebook property mentor ด้วยนะครับ ขอบคุณครับผม...วราพงษ์ ป่านแก้ว
รัฐบาลใหม่ จะเอาไงกับธุรกิจอสังหาฯ
โดย...วราพงษ์ ป่านแก้ว
FB:property mentor
โฉมหน้ารัฐบาลลุงตู่สมัยที่ 2 ชัดเจนแล้วว่า พรรคไหนและใครจะได้นั่งคุมกระทรวงอะไรกันบ้างหลังจากที่มีพระบรมราชโองการโปรเกล้าฯ แต่งตั้งรัฐมนตรีไปเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคมที่ผ่านมา
รัฐบาลใหม่ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีหน้ามนคนหน้าเดิม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังมีอะไรต้องทำอีกเยอะครับ และอย่าหวังว่าจะราบเรียบ ราบรื่นเหมือนสมัยแรกที่มีสามารถกดปุ่มสั่งได้ด้วยอำนาจของม.44 แต่วันนี้นอกจากไม่มีม. 44 ให้ใช้แล้ว ยังมีพรรคร่วมไม่รู้กี่พรรคที่จะต้องเคลียร์ใจกันเป็นระยะๆ
เป็นเพราะเสถียรภาพรัฐบาลคงจะไม่ได้แน่นแฟ้นเหมือนก่อน และเสียงในสภาก็อยู่ในระดับปริ่มน้ำ ทำอะไรก็คงต้องระวังหน้าระวังหลังกันตลอด การบริหารประเทศก็คงจะไม่สามารถเดินหน้าได้เต็มกำลังดังใจหวัง และนอกจากปัญหาการเมืองที่ต้องระแวดระวังกันแล้ว ปัญหาด้านเศรษฐกิจ ก็หนักหนาเอาการอยู่ ทั้งปัญหาภายนอกภายในรุมเร้าและรอให้นายกฯและทีมเศรษฐกิจเข้ามาสางปัญหากันอยู่หลายเรื่อง ชนิดที่ไม่ต้องมี ฮันนีมูนพีเรียด กันเลยทีเดียว ดูๆ แล้วก็เหนื่อยแทน
เอาล่ะมาเข้าเรื่องอสังหาริมทรัพย์กันบ้าง รัฐบาลใหม่จะมีนโยบายอะไรที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจอสังหาฯ และภาคประชาชน ก็ต้องลองดูที่นโยบายของพรรคแกนนำทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น พลังประชารัฐ ประชาธิปัตย์ และภูมิใจไทย ก็ต่างก็มีนโยบายที่เกี่ยวของการภาคอสังหาฯทั้งทางตรงทางอ้อมอยู่หลายข้อเหมือนกัน ขอเอามาทวนให้ฟังอีกรอบ เผื่อท่านๆ ทั้งหลายเขาจะลืมกัน
เริ่มที่พลังประชารัฐ จะสานต่อโครงการ บ้านล้านหลังที่ได้ให้ประชาชนมาจองสิทธิ์สินเชื่อไว้แล้ว 1.27 แสนล้านบาท โดยจะมีการปล่อยสินเชื่อในเฟสที่ 2 วงเงินอีก 1 แสนล้านบาท มีโครงการบ้านประชารัฐที่จะเดินหน้าต่อ และยังมีแนวคิดเสริมสร้างอาชีพ เพื่อเพิ่มรายได้ ให้กับคนที่มีรายได้ไม่พอในการผ่อนบ้าน
นอกจากนี้ จะพัฒนาคอนโดมิเนียมให้กับผู้สูงอายุในเมือง ผลักดัน รีเวิร์ส มอร์เกจ เปลี่ยนบ้านให้เป็นบำนาญสำหรับผู้สูงอายุ ใช้อีอีซี โมเดล เป็นต้นแบบกระจายศูนย์กลางความเจริญไปสู่ภูมิภาคอื่นๆ สร้างเมืองน่าอยู่ใกล้บ้านมีงานทำในจังหวัดใหญ่ๆ และจังหวัดรอง เร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน พัฒนาย่านธุรกิจและนวัตกรรม สร้างเมืองอัจฉริยะสีเขียว พัฒนากรุงเทพฯให้เป็น bangkok 5.0 เป็นต้น
มาที่พรรคประชาธิปัตย์ จะสร้างบ้านหลังแรกด้วยงบประมาณ 2 หมื่นล้านบาท เพื่อเพิ่มโอกาสให้ประชาชนผู้ที่มีรายได้น้อยในการเข้าถึงสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อซื้อบ้าน ผลักดันการเก็บภาษีที่ดินให้มีประสิทธิภาพ จะตั้งคณะกรรมการบริหารจัดการที่อยู่อาศัยแห่งชาติ พร้อมกับจัดทำแผนบริหารจัดการที่อยู่อาศัยแห่งชาติ เพื่อสนองตอบความต้องการด้านที่อยู่อาศัยอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งเสริมให้ประชาชนมีกรรมสิทธิ์ในที่อยู่อาศัย
ขณะเดียวกันจะสนับสนุนให้ภาคเอกชนมีบทบาทในการพัฒนาธุรกิจบ้านและที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพมากขึ้น เพื่อสนองตอบความต้องการบ้านและที่อยู่อาศัยของผู้มีรายได้กลุ่มต่างๆ ส่งเสริมการซื้อขายที่อยู่อาศัย ทั้งบ้านใหม่และบ้านมือสอง เร่งรัดโครงการสร้างรถไฟทางคู่ ขยายโครงข่ายรถไฟเชื่อมโยงไปสู่ภูมิภาคต่างๆ เร่งลงทุนรถไฟความเร็วสูง และเร่งรัดการก่อสร้างระบบขนส่งมวลชนทางรางในกทม.และปริมณฑล
บุรีรัมย์ โมเดล ต้นแบบการพัฒนาเมืองในภูมิภาคของพรรคภูมิใจไทย |
นอกจากนี้ จะจัดหาสถานที่เพื่อจัดทำ Co-working Space ขึ้นมาแขวงละ 1 แห่ง เพื่ออำนวยความสะดวกของประชาชนในการเข้าใช้บริการแบบไม่คิดค่าใช้จ่ายและมีอินเทอร์เน็ตให้บริการฟรี นำบุรีรัมย์โมเดล มาเป็นต้นแบบในการพัฒนาเมือง ในจังหวัด อื่นๆ ทั่วประเทศสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ ให้กับประชาชน
ที่สาธยายมาทั้งหมดก็คือ นโยบายขายฝัน เอ้ย นโยบายหาเสียงของแต่ละพรรคการเมือง ซึ่งมันจะเป็นจริงได้ก็ต่อเมื่อได้เป็นรัฐบาล และนำนโยบายมากลั่นกรองยกร่างร่วมกับพรรคแกน พรรคร่วม และนายกรัฐมนตรี ที่สำคัญต้องได้นั่งในกระทรวง ทบวง กรมที่รับผิดชอบโดยตรง เพื่อขับเคลื่อนนโยบายให้เป็นรูปธรรม คราวนี้มาลองดูกันว่า นโยบายเด่นๆ ที่น่าจะเป็นไปได้ในรัฐบาลลุงตู่ 2
อุตตม สาวนายน รมว.คลัง |
แต่ถ้าย้อนดูความสำเร็จจากเฟสแรก ที่ยังปล่อยกู้ไปได้แค่ไม่กี่พันล้านจากที่มาจองสิทธิ์ไว้กว่า 1 แสนล้านบาท นั่นเป็นเพราะบ้านราคา 1 ล้านมันแทบไม่มีอยู่ในตลาด คงต้องฝากให้ทบทวนกันอีกทีว่า เงื่อนไขบ้าน 1 ล้านนั่นเวิร์กหรือไม่ เช่นเดียวกับ มาตรการลดค่าโอน ค่าจดจำนอง เพื่อสนับสนุนผู้มีรายได้น้อยให้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเองในราคา 1 ล้านบาท และมาตรการลดหย่อนภาษีบ้านไม่เกิน 5 ล้าน ก็ไม่ปังอย่างที่คิด และคงต้องพิจารณาทบทวนกันอีกรอบ
อีกเรื่องที่เป็นปัญหามาก คือมาตรการคุมสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่ทำให้ตลาดอสังหาฯชะลอตัวอยู่ในเวลานี้ จริงๆ ตัววัตถุประสงค์ของมาตรการไม่ค่อยมีปัญหาเท่าไหร่และหลายฝ่ายเห็นด้วยที่จะต้องมีการคุมกัน แต่บางเงื่อนไขควรผ่อนปรนได้บ้าง เพื่อให้เป็นไปตามข้อเท็จจริง แต่สิ่งที่ต้องรีบเร่งดำเนินการคือ ความเข้าใจของทุกฝ่าย ตั้งแต่ผู้ซื้อบ้าน ผู้ประกอบการ และสถาบันการเงิน
นอกจากนี้ พลงัประชาชรัฐยังมีเรื่องของ รีเวิร์ส มอร์เกจ ให้กับผู้สูงอายุ ที่ตั้งแทนรออยู่แล้ว การพัฒนาอีอีซี โมเดล กับพื้นที่อื่นๆ ก็คงจะถูกขับเคลื่อนโดยตัวนายกฯ ในฐานะที่นั่งหัวโต๊ะกรรมการอีอีซี แต่จะเดินหน้าได้ดีแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับรัฐมนตรีจากพรรคอื่นๆ ที่เป็นกรรมการในอีอีซีด้วย จะจูนกันลงตัวมากน้อยแค่ไหน
จุติ ไกรฤกษ์ รมว.พัฒนาสังคมฯ |
สุดท้ายที่พรรคภูมิใจไทย คุมกระทรวงคมนาคม ซึ่งคงต้องรันแผนงานหลักคือเรื่องของโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมที่หลายโครงการยังรออยู่ และที่สำคัญคงได้ผลักดันนโยบายที่หาเสียงเอาไว้คือ การเอารถบ้านมาวิ่งสาธารณะ เหมือนที่ Grab และ Uber ทำ ก็คงต้องตบตีกับแท็กซี่กันอีกหลายยก เพราะยังไม่ทันนั่งเก้าอี้ พี่น้องแท็กซี่ก็ออกมาประท้วงกันแล้ว
ศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม |
นโยบายอีกเรื่องที่ภูมิใจไทยน่าจะหยิบจับมาสร้างเนื้องานให้กับพรรคตัวเองได้ ในฐานะที่ดูกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา คือ การนำเอาเรื่องของกีฬามาพัฒนาเมือง สร้างงาน สร้างรายได้ให้จังหวัด เหมือนที่ประสบความสำเร็จที่จังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งน่าจะเห็นแนวคิดนี้ในจังหวัดอื่นๆ ส่วนเรื่องของการ Work@Home/Study@Home หรือการทำ Co-working Space ดูแล้วก็อาจจะยากๆ สักหน่อย เพราะไม่ได้คุมกระทรวงที่ดูแลเรื่องพวกนี้โดยตรง
สรุปว่า ก็คงพอจะได้เห็น นโยบายด้านอสังหาฯ และการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่พรรคแกนนำต่างๆ ได้หาเสียงเอาไว้ ถูกนำมาขับเคลื่อนอยู่บ้าง ผ่านทางกระทรวงต่างๆ ที่แต่ละพรรคดูแลอยู่บ้าง แต่จะให้เปรี้ยงปร้าง หรือปัง ได้แค่ไหน ก็ต้องคอนติดตามกันครับ
ซื้อบ้านจัดสรรอย่างไร ไม่ให้ถูกเอาเปรียบ
อาจเป็นเพราะเราเข้าถึงข้อมูลข่าวสารกันได้ทุกที่ ทุกเวลา เพียงแค่มีสัญญาณอินเทอร์เน็ททุกๆ อย่างก็ง่ายดายแค่ปลายนิ้ว แล้วเราคิดกันบ้างหรือไม่ว่ายิ่งเข้าถึงง่าย อาจถูกหลอก หรือถูกเอาเปรียบได้ง่ายๆ ถ้าเราไม่มีข้อมูลมากเพียงพอ โดยเฉพาะกับการซื้อทรัพย์สินรายการใหญ่อย่างที่อยู่อาศัย
ปัจจุบันสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค หรือ สคบ.ได้กำหนดให้การซื้อขายบ้านจัดสรร ถูกควบคุมด้วยสัญญามาตรฐานที่มีกฎหมายรองรับ แต่เมื่อเราเห็นการโฆษณาผ่านสื่อโซเชียล บวกกับโปรโมชั่นแรงๆ ราคาลดสุดๆ ล่อใจ เราอาจตัดสินใจจองซื้อบ้านจัดสรรโดยที่ไม่มีการศึกษารายละเอียดโครงการให้ดีพอ
เพื่อเป็นการป้องกันปัญหาต่าง ๆ Property Mentor มี Trick ในการเลือกซื้อบ้านจัดสรรมานำเสนอ
ควรเลือกซื้อบ้านกับโครงการที่มีใบอนุญาตจัดสรร เพราะผู้บริโภคจะได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายเกี่ยวกับการสรรที่ดิน ซึ่งโครงการที่ดำเนินการถูกต้องตามกฎหมายจะมีมาตรฐานในด้านของการจัดให้มีสาธารณูปโภคภายในโครงการ อาทิ ขนาดของถนนที่ตรงตามมาตรฐาน ระบบไฟฟ้า ประปา และสาธารณูปโภคอื่น ๆ
ควรตรวจสอบรายละเอียดต่างๆ ของโครงการว่ามีอะไรบ้าง เช่น อ่านจากแผ่นพับโฆษณาว่าทางโครงการจัดให้มีสวนสาธารณะ สระว่ายน้ำ สนามกีฬา สนามเด็กเล่น หรือไม่ ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องระบุในสัญญาด้วยนะครับ หากเป็นโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างควรสอบถามให้ชัดเจนว่าจะเริ่มทำเมื่อใด และจะทำหรือไม่ เพราะมีหลายโครงการที่สร้างบ้านขายหมดทุกหลังแล้ว ก็ละเลยไม่ทำสวนสาธารณะ หรือสระว่ายน้ำตามที่สัญญาไว้
ควรเก็บแผ่นพับ โปรชัวร์โฆษณา เอาไว้เสมือนเป็นหลักฐานสำคัญฉบับหนึ่ง เพราะคำโฆษณา สามารถนำไปอ้างอิงทางกฎหมายได้ กรณีที่เจ้าของโครงการไม่ทำตามที่โฆษณาไว้
นอกจากนี้ ควรหาโอกาสไปดูโครงการอื่นๆ ของผู้ประกอบธุรกิจบ้านจัดสรรรายเดียวกันนี้ว่าผลงานเป็นอย่างไรบ้าง ถนนโครงการกว้างตามแบบที่กฎหมายกำหนดหรือไม่ ระบบต่างๆ การบริหารจัดการภายในโครงการเป็นอย่างไร เช่น ระบบการจัดเก็บขยะ การระบายน้ำหรือปัญหาน้ำท่วมขัง เราลองสอบถามจากคนที่อยู่ในโครงการนั้นดูว่า มีปัญหาเกี่ยวกับบ้านที่ซื้อไป หรือมีปัญหาเกี่ยวกับการอยู่อาศัยหรือไม่
ควรศึกษาสภาพแวดล้อมของโครงการในเรื่องการเวนคืนที่ดินและกฎหมายข้อห้ามต่างๆ และไม่ควรหลงเชื่อโฆษณา ต้องสอบถามเงื่อนไขให้ชัดเจน ว่าก่อสร้างเสร็จเมื่อใด ราคาซื้อขาย สาธารณูปโภคมีอะไรบ้าง ของแถม ส่วนลด ค่าใช้จ่ายส่วนกลาง ส่วนค่าธรรมเนียมและค่าภาษีต่าง ๆ ในการโอนกรรมสิทธิ์ ซึ่งในส่วนของค่าใช้จ่ายในการโอนกรรมสิทธิ์กฎหมายระบุชัดเจนให้ผู้ซื้อรับผิดชอบเฉพาะค่าธรรมเนียมครึ่งหนึ่งเท่านั้น ส่วนค่าธรรมเนียมอีกครึ่งหนึ่งและค่าภาษีต่าง ๆ เป็นหน้าที่ของประกอบธุรกิจบ้านจัดสรรที่จะต้องชำระตามกฎหมาย
หากในสัญญาระบุไว้ว่าผู้ซื้อจะต้องชำระทั้งหมดถือว่าไม่ถูกต้อง เราซึ่งเป็นผู้บริโภคกำลังถูกเจ้าของโครงการเอาเปรียบ รู้แบบนี้เราควรเปลี่ยนโครงการ เพราะแค่เรื่องค่าธรรมเนียมและภาษีในการโอนกรรมสิทธิ์ยังผลักภาระให้ผู้บริโภค แล้วในเรื่องอื่นๆ ล่ะจะรับผิดชอบกันแค่ไหน
ที่สำคัญ ก่อนลงนามในสัญญาจองซื้อบ้าน ต้องอ่านสัญญาทุกหน้าก่อนตัดสินใจลงชื่อ หากไม่เข้าใจในข้อสัญญาข้อใด ให้สอบถามพนักงานขายก่อน หากไม่มั่นใจในคำตอบให้สอบถามผ่านช่องทางสื่อสารของทางบริษัทผู้เป็นเจ้าของโครงการ หากเห็นว่าสัญญานั้นไม่เป็นธรรมก็ควรเลื่อนระยะเวลาทำสัญญาออกไป เพื่อไปปรึกษาผู้รู้ในเรื่องนั้นก่อน อย่ารีบลงชื่อเพียงเพราะพนักงานขายเอาแต่พูดว่า วันนี้เป็นวันสุดท้ายของโปรโมชั่น เพราะอาจทำให้เราเสียเปรียบได้ในภายหลัง
เปิด Top 5 ทำเลคอนโดราคาปรับแรง 10-20%
เปิด 5 ทำเลดัชนีราคาห้องชุดปรับขึ้นสูงสุดในไตรมาส 2 เผยโซนราชเทวี-พญาไท ราคานำลิ่ว 20% บางซื่อ-ดุสิต ไล่บี้ 19% สุดขุมวิทตอนต้น-ปลาย เข้าป้าย อันดับ 3 และ 4 ขณะที่คอนโดชานเมืองฝั่งตะวันออกติดอันดับ 5
อย่างไรก็ตาม ในภาพรวมดัชนีราคาห้องชุดมีการขยายตัวเพิ่มขึ้น แต่เป็นการเพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอตัวลง โดยมีสาเหตุมาจากแนวโน้มอุปทานห้องชุดใหม่คงเหลือขายในตลาดที่เพิ่มขึ้น และอัตราดูดซับที่ลดลง รวมทั้งการเริ่มบังคับใช้มาตรการควบคุมสินเชื่อที่อยู่อาศัยของธนาคารแห่งประเทศไทย เมื่อต้นเดือนเมษายน 2562 ทำให้ผู้ซื้อชะลอการตัดสินใจ
ดังนั้นผู้ประกอบการจึงเร่งรัดการตัดสินใจของผู้ซื้อด้วยการเพิ่มรายการส่งเสริมการขายในไตรมาสนี้มากขึ้น ส่งผลให้ดัชนีราคาห้องชุดในไตรมาสที่ 2 มีค่าดัชนีเท่ากับ 150.5 จุด (ปี 2555 = 100.0) เพิ่มขึ้น 8.2% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) และเพิ่มขึ้น 0.8% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน (QoQ)
สำหรับห้องชุดในกรุงเทพฯ มีค่าดัชนีเท่ากับ 151.9 จุด เพิ่มขึ้น 9.1% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนและเพิ่มขึ้น 0.9% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ส่วนปริมณฑล มีค่าดัชนีเท่ากับ 143.7 จุด เพิ่มขึ้น 4.7% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 0.7% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า
ส่วนรายการส่งเสริมการขายที่ใช้ในไตรมาสนี้อันดับ 1 เร่งรัดการตัดสินใจของผู้ซื้อด้วยของแถม เช่น เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ฯลฯ 59.7% อันดับ 2 ส่วนลดเงินสด 27.0% และอันดับ 3 ช่วยผู้ซื้อจ่ายค่าธรรมเนียมในการโอนกรรมสิทธิ์ 13.3% (ในไตรมาส 1 ปี 2562 รายการส่งเสริมการขาย อันดับ 1 ส่วนลดเงินสด 46.2% อันดับ 2 ให้ของแถม 38.5% และอันดับ 3 ช่วยผู้ซื้อจ่ายค่าธรรมเนียมในการโอนกรรมสิทธิ์ 15.4%)
สำหรับห้องชุดในกรุงเทพฯ มีค่าดัชนีเท่ากับ 151.9 จุด เพิ่มขึ้น 9.1% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนและเพิ่มขึ้น 0.9% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ส่วนปริมณฑล มีค่าดัชนีเท่ากับ 143.7 จุด เพิ่มขึ้น 4.7% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 0.7% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า
ส่วนรายการส่งเสริมการขายที่ใช้ในไตรมาสนี้อันดับ 1 เร่งรัดการตัดสินใจของผู้ซื้อด้วยของแถม เช่น เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ฯลฯ 59.7% อันดับ 2 ส่วนลดเงินสด 27.0% และอันดับ 3 ช่วยผู้ซื้อจ่ายค่าธรรมเนียมในการโอนกรรมสิทธิ์ 13.3% (ในไตรมาส 1 ปี 2562 รายการส่งเสริมการขาย อันดับ 1 ส่วนลดเงินสด 46.2% อันดับ 2 ให้ของแถม 38.5% และอันดับ 3 ช่วยผู้ซื้อจ่ายค่าธรรมเนียมในการโอนกรรมสิทธิ์ 15.4%)
บ้านเดี่ยว-ทาวน์เฮาส์ ราคาขึ้นเล็กน้อย
นายวิชัย กล่าวอีกว่า สำหรับดัชนีราคาบ้านเดี่ยวในกรุงเทพฯและปริมณฑล ประจำไตรมาส 2 ปี 2562 มีค่าดัชนีเท่ากับ 123.7 จุด เพิ่มขึ้น 2.3% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 0.5% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า โดยในพื้นที่กรุงเทพฯ มีค่าดัชนีเท่ากับ 123.0 จุด เพิ่มขึ้น 2.9% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 0.2% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ส่วนในจังหวัดปริมณฑล มีค่าดัชนีเท่ากับ 123.9 จุด เพิ่มขึ้น 2.4% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 0.6% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าขณะที่ดัชนีราคาทาวน์เฮาส์ ในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล มีค่าดัชนีเท่ากับ 128.3 จุด เพิ่มขึ้น 3.3% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 0.7% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ในกรุงเทพฯ มีค่าดัชนีเท่ากับ 126.8 จุด เพิ่มขึ้น 2.8% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 0.8% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ส่วนปริมณฑล มีค่าดัชนีเท่ากับ 129.8 จุด เพิ่มขึ้น 3.7% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 0.7% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า
ความเชื่อมั่นผู้ประกอบการลดฮวบ
นอกจากนี้ ศูนย์ข้อมูลยังได้จัดทำดัชนีความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัย ในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ในภาวะปัจจุบัน (Current Situation Index) ประจำไตรมาส 2 ปี 2562 โดยมีค่าเท่ากับ 42.2 จุด (ต่ำกว่าค่ากลางดัชนีที่ 50.0 จุด) ลดลงจากไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) ซึ่งมีค่าดัชนีอยู่ที่ 50.4 จุด
สะท้อนให้เห็นถึงระดับความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการฯ ที่ลดลงจากความไม่มั่นใจต่อทิศทางเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศไทยในปัจจุบัน ประกอบกับ เป็นช่วงเวลาที่ยังรอความชัดเจนในเชิงนโยบายที่จะมีผลธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยและอสังหาริมทรัพย์ในภาพรวมจากรัฐบาลชุดใหม่กำลังจะเข้ามาบริหารประเทศ
ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นในอีก 6 เดือนข้างหน้า (Expectations Index) ในไตรมาส 2 ปี 2562 มีค่าเท่ากับ 58.0 ลดลงเล็กน้อยจากไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งอยู่ที่ระดับ 58.4 จุด แต่ยังคงสูงกว่าค่ากลางที่ระดับ 50.0 จุด แสดงให้เห็นว่าผู้ประกอบการยังมีมุมมองที่เป็นบวกต่อทิศทางของธุรกิจการพัฒนาที่อยู่อาศัย โดยยังให้ความเชื่อมั่นว่า เศรษฐกิจจะมีโอกาสปรับตัวดีขึ้นภายหลังจากที่มีการจัดตั้งรัฐบาลเรียบร้อยแล้ว
ดวง-ธุรกิจ วันจันทร์ที่ 8-วันอาทิตย์ที่ 14 กรกฎาคม 2562
โดย...ภัทร์มนต์ ศักดิ์ชุศรณ์
lux_payagon@hotmail.com
ฤกษ์ดีประจำสัปดาห์
- วันอังคารที่ 9 กรกฎาคม 2562 เวลา 12.30-14.00 น. และ 15.30-18.30 น. เหมาะติดต่อประสานงาน เปิดตัวสินค้า ขอเครดิต เปิดร้านอาหาร ร้านโทรศัพท์มือถือ
- วันพุธที่ 10 กรกฎาคม 2562 เวลา 10.30-14.30 น. เหมาะซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ โอน/ไถ่ถอน ขอวีซ่า ทำบุญเสริมดวง เปิดกิจการทัวร์ การท่องเที่ยว สถาบันติววิชา
- วันศุกร์ที่ 12 กรกฎาคม 2562 เวลา 12.30-14.00 น. และ 15.30-18.30 น. เหมาะเจรจาประนอมหนี้ ขอความช่วยเหลือ สมัครงานใหม่ ติดต่อเจรจากับต่างประเทศ เปิดกิจการโลจิสติกส์ เปิดโชว์รูม เปิดโรงแรม กิจการไอที กิจการขนส่ง
- วันเสาร์ที่ 13 กรกฎาคม 2562 เวลา 9.00-10.30 น. และ 18.00-19.30 น. เหมาะต่อรองผลประโยชน์ เริ่มต้นงานใหม่ เปิดบัญขีธนาคาร ตั้งชื่อ ตั้งนามสกุลใหม่ เซ็นสัญญา เจรจาธุรกิจ เปิดกิจการโรงรับจำนำ ไฟแนนซ์ ร้านสะดวกซื้อ
เกณฑ์ชะตาในช่วงนี้ต้องระวังในเรื่องคำพูดไว้ให้มากพูด ไม่คิดรับอาสาจะเดือดร้อนรับภาระไปอีกนาน ในด้านการงานมีเหตุให้ต้องเข้าไปใกล้ชิดสัมพันธ์กับผู้ใหญ่จนทำให้ผิดใจกับเพื่อนร่วมงาน การลงทุนควรค่อยเป็นค่อยไปจะดีกว่าทุ่มสุดตัว ในด้านการติดต่อประสานงานไม่ค่อยราบรื่นนัก การเงินแม้จะหมุนคล่องแต่ให้ระวังการถูกหยิบยืมจากคนใกล้ตัว สำหรับคนโสดเป็นช่วงที่มีคนเข้ามาให้ความสนใจหากพิจารณาไว้อาจได้คนรู้ใจเคียงข้างได้ ช่วงนี้ให้ระวังการเจ็บป่วยและอุบัติเหตุจากของมีคม
ท่านที่เกิดวันจันทร์
เกณฑ์ชะตาในช่วงนี้ เป็นช่วงที่คุณต้องเข้าสังคมมากกว่าปกติอาจทำให้เปลืองค่าใช้จ่ายบ้างและมีเกณฑ์การเดินทางไกลอย่างไม่คาดคิด ด้านการงานราบรื่น และได้ต่อยอดงานตัวเก่า รวมถึงได้รับความร่วมมือจากเพื่อนร่วมงานและเจ้านายอย่างดี การติดต่อประสานงานไม่ควรใจร้อนหรือตอบรับข้อเสนอง่ายๆ อาจเสียเปรียบภายหลังได้ หากมีการลงทุนต้องดูความพร้อมของตัวเองโดยเฉพาะเรื่องเงิน การทำธุรกรรมทางการเงินต่างๆ จะได้ผลดี รวมถึงการเอ่ยปากทวงถามหนี้สินต่างๆ มีดวงการเสี่ยงโชค ดวงความรักมีเกณฑ์เกิดรักซ้อนได้ง่ายๆ ช่วงนี้ร่างกายอ่อนแอระวังไข้หวัด
ท่านที่เกิดวันอังคาร
เกณฑ์ชะตาในช่วงนี้ค่อนข้างชิลๆ กับสิ่งรอบตัว มีการวางแผนท่องเที่ยว ในด้านการงานแม้จะหนักหน่วงแต่ก็สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี และยังได้รับการตอบรับจากผู้ใหญ่ ด้านการลงทุนได้ผลมองเห็นกำไรเป็นกอบเป็นกำ แต่หากมีหุ้นส่วนต้องระวังความสะเพร่าในเรื่องต่างๆ ให้มาก ท่านที่มีบริวารช่วงวันที่ 11ไปแล้วอาจเดือดร้อนเพราะบริวารได้ การติดต่อประสานงานเจอกับคนเอาเปรียบรู้มาก การเงินคล่องมือ เหมาะลงทุนกับกองทุนต่างๆ เพื่อเก็บสะสมเงิน ความรักให้ระวังปัญหาหึงหวงเก่าๆ กลับมาให้รำคาญใจ สุขภาพระวังยกของหนักจะเกิดเจ็บป่วยได้ .
ท่านที่เกิดวันพุธ
ช่วงนี้ให้ระวังเรื่องการใช้จ่ายที่เกินงบบ้าง ด้านการงานควรอยู่ห่างๆ เว้นระยะจากผู้ใหญ่จะดีกว่าไปใกล้ชิดติดตาม เพราะมีเกณฑ์เกิดขัดแย้งกับผู้ใหญ่ได้ง่ายๆ แต่เหมาะกับการสะสางงานเก่าที่คั่งค้าง และการติดต่อประสานงานมีความก้าวหน้ารวมถึงการได้โอกาสดีๆ ในช่องทางการหารายได้เพิ่ม การเงินนับว่ายังคล่องตัวและมีโอกาสได้เสียเงินให้กับเครื่องมือสื่อสาร ด้านความรักสดใสและอาจได้พบคนถูกใจจากการแนะนำของเพื่อนฝูง ช่วงนี้ควรหมั่นดูแลสุขภาพให้มากกว่าเดิม ระวังเรื่องการติดเชื้อให้มากกว่าที่เคย
ท่านที่เกิดวันพุธกลางคืน
เกณฑ์ชะตาในช่วงนี้ ค่อนข้างได้เปรียบในเรื่องหน้าที่การงานและยังมีโอกาสดีๆ ในด้านการติดต่อประสานงานต่างๆ การลงทุนในกิจการขนาดเล็กพอจะทำกำรี้กำไรให้ได้พอสมควร แต่เป็นในระยะสั้นๆไม่ควรทุ่มสุดตัว สำหรับในเรื่องของความรักของคนโสดที่อาจได้พบรักโดนใจแบบปิ๊งๆไปเลย การเงินนับว่าคล่องมือพอใช้และมีโอกาสเสียเงินเพราะความใจร้อน หากมีเจ้าหนี้อยู่ให้ระวังการถูกทวงถามหนี้สิน และไม่ควรไปค้ำประกันให้ใครอาจมีปัญหาได้ภายหลัง สุขภาพแข็งแรง ให้ระวังอุบัติเหตุจากของมีคม
ท่านที่เกิดวันพฤหัสบดี
เกณฑ์ชะตาในช่วงนี้คุณต้องรอบคอบในเรื่องการเงินให้มากควรมีการบริหารจัดการให้ชัดเจนและไม่ควรรับปากช่วยเหลือใครในเรื่องเงินเพราะสถานการณ์การเงินของคุณไม่ค่อยแน่นอนสักเท่าไหร่นัก ในด้านการงานมีโอกาสดีๆ ในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการนำเสนอโครงการ การมองหางานพิเศษเพิ่มเติมรายได้ รวมถึงการติดต่อประสานงานที่อาจนำสิ่งดีๆ มาให้ในอนาคต การลงทุนในช่วงนี้ให้ชะลอไว้ก่อนมองการตลาดให้มากกว่าเดิม ความรักหากพูดเล่นพูดล้อกับเพศตรงข้ามให้ระวังความเข้าใจผิดจนเกิดปัญหารักซ้อนได้ สุขภาพระวังเรื่องระบบย่อยอาหารหรือสุขลักษณะของอาหารการกิน
ท่านที่เกิดวันศุกร์
เกณฑ์ชะตาในช่วงนี้มักจะมีความยุ่งยากในเรื่องหน้าที่การงานอยู่พอสมควรเป็นช่วงที่อยู่ในการสะสางงานเก่าๆ โดยเฉพาะท่านที่มีบริวารอาจต้องพบกับความยุ่งยากกับการหมกเม็ดปัญหาต่างๆ ไว้ให้ต้องเร่งมือเคลียร์โดยด่วน ช่วงนี้ควรชะลอการลงทุนไว้ก่อน การติดต่อประสานงานก้าวหน้า การเงินดี อยู่ในช่วงกอบโกย และการขอสินเชื่อต่างๆ หรือพูดคุยต่อรองผลประโยชน์ประสบความสำเร็จดี ความรักสดใสและมีเกณฑ์ได้โชคจากเพศตรงข้าม สุขภาพให้ระวังโรคประจำตัวกำเริบหรืออุบัติเหตุ จะเจ็บตัวเพราะความประมาทของตัวเอง
ท่านที่เกิดวันเสาร์
เกณฑ์ชะตาในช่วงนี้อย่าเพิ่งทำอะไรใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนหรือเริ่มโครงการอะไร หากจะต้องทำกันจริงๆ ควรให้เลยวันที่ 13 กรกฎาฯ ไปก่อนดวงชะตาจึงจะค่อยๆ ดีขึ้นบ้าง การเข้าพบผู้ใหญ่ให้ระวังเรื่องคำพูดให้มากพยายามเลี่ยงการขัดแย้งเพราะจะมีผลในระยะยาวทีเดียว การลงทุนในกิจการใหญ่ช่วงนี้ควรชะลอไว้ก่อนรอไปสักเดือนหน้าค่อยลงมือ ความรักของคุณสดใส ด้านการเงินยังคงคล่องมือและเหมาะติดต่อขอเครดิตหรือขอสินเชื่อ การติดต่อหรือซื้อขายหลักทรัพย์มีโอกาสได้ดั่งใจ สุขภาพระวังระบบย่อยอาหารหรือการติดเชื้อจากไวรัสต่างๆ
อสังหาฯฝ่าปัจจัยลบ เดินหน้าลงทุนปั๊มยอดขาย
The Show Must Go On ไม่ว่าจะอย่างไร ...ก็ต้องดำเนินต่อไป ฟังดูมันเข้ากับสถานการณ์ของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในเวลานี้จริงๆ เมื่อมองไปข้างหน้า เห็นอุปสรรคขวากหนามขวางอยู่เต็มทาง แต่ถึงอย่างไรก็ต้องเดินหน้าต่อไป เมื่อบริษัทรายใหญ่ยังคงประกาศแผนลงทุนเต็มพิกัดในช่วงครึ่งปีหลัง แม้ว่าจะมีปัจจัยลบต่างๆ ขวางอยู่เต็มลำ และดูท่าว่าทั้งปีตลาดจะติดลบเกินกว่าหลัก 10%
ไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย มองว่า โอเคล่ะ ตลาดในปีนี้น่าจะติดลบ ก็หวังว่าคงจะติดลบไม่มาก และถ้ามองให้เป็นโอกาส มันก็ทำให้ซัพพลายใหม่เข้ามาน้อยลง และเป็นจังหวะที่ดี สำหรับการพัฒนาโครงการที่เน้นกลุ่มเรียลดีมานด์ ถ้าพัฒนาสินค้าในราคาที่ถูกต้อง และถูกตังค์กว่าคนอื่นๆ ก็เชื่อว่ายังคงขายได้ เมื่อมองดูยอดขายในครึ่งปีแรกก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร ทุกอย่างยัง Go On ไปตามเป้าหมาย ในครึ่งปีหลังจึงยังจัดเต็มตามแผนเดิม
ศุภาลัย ปาร์ค แยกไฟฉาย คอนโดโครงการแรกของศุภาลัยในครึ่งปีหลัง |
“บ้านแนวราบค่อยๆ ดีขึ้น หลังจากแผ่วไปในช่วงที่ออกมาตรการคุมสินเชื่อที่อยู่อาศัย ของธนาคารแห่งประเทศไทย ทำให้ลูกค้าสับสนและไม่กล่าซื้อ ตอนนี้ลูกค้าเข้าใจมากขึ้นแล้ว ซึ่งคาดว่า ในภาพรวมไตรมาสที่ 3 น่าจะดีขึ้นกว่าไตรมาส 2 แม้การคาดการของการขยายตัวของเศรษฐกิจจะถูกลดลง แต่อัตราการจ้างงานยังดีอยู่ และการลงทุนภาครัฐที่ชะลอตัวอาจจะกระทบกำลังซื้ออยู่บ้างก็ตาม แต่เมื่อรัฐบาลใหม่ตั้งหลักได้ก็น่าจะเร่งการลงทุนของรัฐต่อเนื่อง สถานการณ์ก็น่าจะดีขึ้น” ไตรเตชะ กล่าว
เช่นเดียวกับบิ๊กเนมรายอื่นๆ ที่ยังคอนเฟิร์มเดินหน้าลงทุนตามแผน ไม่เช่นนั้นผลประกอบการจะไม่เดินไปตามเป้าที่ตั้งไว้ แต่ก็พร้อมจะปรับแผนที่จำเป็น
ดร. ชัยยุทธ ชุณหะชา ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการเงิน บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในไตรมาส 2/2562 บริษัทมียอดขายกว่า 6,100 ล้านบาท เติบโต 27% จากไตรมาสแรก ส่งผลให้ครึ่งปีแรกบริษัทมียอดขายสะสมกว่า 10,915 ล้านบาท โดยมาจากการขายโครงการเดิมที่มีอยู่ในมือเป็นหลัก ถือว่าเป็นผลการดำเนินงานที่น่าพอใจในสถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่มีความท้าทายทั้งปัจจัยภายในประเทศและต่างประเทศ และเชื่อว่าความต้องการที่อยู่อาศัยโดยเฉพาะใกล้รถไฟฟ้ายังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง
สำหรับ ในครึ่งปีแรก บริษัทได้เปิดตัวโครงการใหม่เพียง 2 โครงการ คิดเป็น 30% ของเป้าหมายยอดขายทั้งปี 2562 ที่ระดับ 36,000 ล้านบาท โดยในครึ่งปีหลังทางบริษัทมีแผนที่จะเปิดโครงการใหม่อีกหลายโครงการ โดยบริษัทมีที่ดินพร้อมพัฒนากว่า 10 แปลง สำหรับเตรียมเปิดโครงการคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้าตอบสนองความต้องการของลูกค้าในราคาที่สามารถจับจองเป็นเจ้าของได้ ได้แก่ สามย่าน สุขุมวิท ทองหล่อ เป็นต้น ซึ่งจะส่งผลให้ยอดขายเติบโตเพิ่มขึ้นตามเป้าหมายที่วางไว้
“อย่างไรก็ตาม ความท้าทายของตลาดอสังหายังคงมีอยู่ ทั้งจากปัจจัยภายในประเทศและภายนอกประเทศ โดยบริษัทได้เตรียมพร้อมปรับแผนธุรกิจหากมีความจำเป็นเพื่อรักษาเสถียรภาพในระยะยาว ทั้งนี้แผนธุรกิจทั้งหมดของบริษัทนั้น ยังคงสนับสนุนการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และเน้นย้ำการเป็นผู้นำในตลาดคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้าในประเทศไทย พร้อมทั้งยังคงรักษาวินัยทางการเงินไว้อย่างเข้มงวด โดยจะรักษาอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อทุนไว้ที่ 1 เท่า เป็นเป้าหมายระยะยาว และเราต้องมั่นใจว่าการเติบโตของบริษัทจะไม่เพิ่มความเสี่ยงซึ่งมีผลกระทบต่อความมั่นคงของบริษัทในระยะยาว” ดร. ชัยยุทธ กล่าว
ด้าน บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ได้ประกาศผลงานครึ่งปีแรก โดยมียอดขายแล้ว 20,800 ล้านบาท และกำลังก้าวสู่เป้ายอดขายรวม 41,800 ล้านบาท เติบโตกว่า 20% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ด้วยการบุกตลาดทั้งแนวราบและแนวสูงครึ่งปีหลัง
นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กรและการสร้างสรรค์ เอพี (ไทยแลนด์) กล่าวว่า แม้ภาพรวมของธุรกิจอสังหาฯ ครึ่งปีแรกจะมีหลายปัจจัยทั้งเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว หรือมาตรการควบคุมภายในประเทศที่กระทบบรรยากาศการซื้อขาย แต่เชื่อว่าดีมานด์ลูกค้าที่มองหาที่อยู่อาศัยยังมีอยู่ แต่เป็นดีมานด์ที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น ‘โลเคชั่น’ ‘แบบบ้าน’ และ ‘แพ็คเกจราคา’ ต้องใช่ถึงตัดสินใจซื้อ
“ความท้าทายของผู้ประกอบการอสังหาฯ ในวันนี้คือการพัฒนาทั้งรูปแบบและแพ็คเกจราคา บนพื้นฐานความต้องการจริงและความสามารถในการผ่อนชำระของลูกค้า โดยการดำเนินงานในครึ่งปีแรก ภายใต้กลยุทธ์การรบยาวเปิดตัวทุกแบรนด์ในเครือ พัฒนาโปรดักซ์ตอบโจทย์เฉพาะเจาะจงแต่ละเซ็กเมนต์ ส่งผลภาพรวมยอดขายของเอพีไปได้สวย สวนกระแสภาพรวมตลาดที่ค่อนข้างชะลอตัวในครึ่งปีแรก”
สำหรับ ยอดขายรวมครึ่งปีแรกกว่า 20,800 ล้านบาท (ณ 30 มิถุนายน 62) แบ่งเป็น ยอดขายจากคอนโดมิเนียม มูลค่า 9,500 ล้านบาท และ แนวราบมูลค่า 11,300 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 20% เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนที่ 17,265 ล้านบาท และได้เปิดตัวโครงการใหม่ไปแล้วสิ้น 17 โครงการ มูลค่ารวม 30,785 ล้านบาท ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าที่เป็นเรียลดีมานด์
“ในส่วนของธุรกิจอสังหาฯ ครึ่งปีหลัง เชื่อว่าผู้ประกอบการทุกรายต่างเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์ตลาดอย่างใกล้ชิด อย่างไรก็ตามเชื่อว่าจะมีปัจจับบวกที่จะเข้ามากระตุ้นความเชื่อมั่นและบรรยากาศการซื้อขายอสังหาฯ ในครึ่งปีหลัง อาทิ การจัดตั้งรัฐบาล และการฟอร์มทีมดูแลด้านนโยบายเศรษฐกิจของประเทศอย่างชัดเจน โดยคาดว่า อานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ จะเข้ามากระตุ้นภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศให้กลับมาเติบโตอีกครั้ง” นายวิทการ กล่าวเสริม
THE SONNE ศรีนคริทร์-บางนา บ้านแบรนด์ใหม่ของเอพี |
ด้านนายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในช่วงไตรมาส 2/2562 ที่ผ่านมา บริษัทสามารถสร้างยอดขายได้อย่างยอดเยี่ยมถึง 7,290 ล้านบาท โดยขณะนี้ยอดขายสะสมของบริษัทในครึ่งปีแรกคือ 13,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 46% ของเป้าหมายทั้งปี จากการเปิดโครงการใหม่ที่เปิดตัวในช่วงไตรมาส 2 จำนวน 2 โครงการ ได้แก่ 1. โครงการดิ ออริจิ้น ราม 209 อินเตอร์เชนจ์ และ 2. โครงการพาร์ค ออริจิ้น จุฬา-สามย่าน สามารถสร้างยอดขายได้เหนือความคาดหมาย
จากปริมาณยอดขายและกระแสตอบรับจากผู้บริโภคที่ยังคงเป็นไปอย่างยอดเยี่ยม ทำให้บริษัทมีความมั่นใจในการเปิดตัวโครงการใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงไตรมาสที่ 3/2562 บริษัทจะเปิดตัวโครงการใหม่อีกประมาณ 6 โครงการ ได้แก่ โครงการพาร์ค ออริจิ้น ราชเทวี โครงการเคนซิงตัน ดิสทริค ระยอง โครงการภายใต้แบรนด์ดิ ออริจิ้นอีก 3 โครงการใน 3 ทำเลศักยภาพ ได้แก่ รัชดา ลาดพร้าว และสุขุมวิท และโครงการบ้านจัดสรร บริทาเนีย บางนา-สุวรรณภูมิ 1 โครงการ คิดเป็นมูลค่าโครงการรวมกว่า 8,100 ล้านบาท
“ครึ่งปีหลังของปีนี้ เรายังมีโครงการที่รอเปิดตัวอีกจำนวนมากในทุกเซ็กเมนท์ครอบคลุมทั้งคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรร รวมถึงยังมีแคมเปญอีกหลายอย่างที่รอเปิดตัว เริ่มจากของแบรนด์ดิ ออริจิ้น ที่จะเปิดตัวคอนเซ็ปต์ของแบรนด์พร้อมแคมเปญการตลาดอย่างเป็นทางการ ในวันที่ 11 ก.ค.นี้ เชื่อว่าจะตอบโจทย์ความต้องการที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคในทุกระดับ และส่งผลให้ยอดขายในปี 2562 เป็นไปตามเป้าหมาย 28,000 ล้านบาท” นายพีระพงศ์ กล่าว
คงต้องตามลุ้นกันต่อว่า แผนการที่แต่ละบริษัทมั่นใจว่าจะไปได้สวยในไตรมาสที่ 3 และ ไตรมาสที่ 4 นั้น จะเป็นไปตามที่คาดหวังหรือไม่ เมื่อปัจจัยด้านลบยังมีมากกว่าปัจจัยด้านบวกแต่ละรายจะปล่อยหมัดเด็ดอะไรเพื่อพิชิตยอดขายในครึ่งปีหลัง หรือจะต้องพับปรับแผนกันในโค้งสุดท้ายคงต้องคอยติดตามกันครับ
6 เดือนแรกปี 62 คอนโดใหม่หดตัว 20%
คอลลิเออร์ส เผยครึ่งปีแรกคอนโดเปิดตัวลดลง 20% ชี้ผู้ประกอบการเน้นระบายสต๊อกเก่า หนีมาตรการคุมสินเชื่อ 3 สถานีรถไฟฟ้า ปุณณวิถี เอกมัย พระราม 9 โครงการใหม่พรึบ
นายภัทรชัย ทวีวงศ์ ตำแหน่ง รองผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัย คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย กล่าวว่า ในช่วงครึ่งแรกของปี 2562 มีคอนโดมิเนียมเปิดขายใหม่ประมาณ 45 โครงการ 18,075 ยูนิต มูลค่าการลงทุนรวม 120,302 ล้านบาท โดยจำนวนการเปิดตัวน้อยกว่าในช่วงเวลาเดียวกันของปี 2561 ประมาณ 4,486 ยูนิต หรือคิดเป็น 19.9%
จากข้อมูลพบว่า ในช่วงไตรมาสที่ 1 ปี 2562 ผู้ประกอบการเน้นการระบายสต็อกคงค้างเพื่อให้ลูกค้าสามารถโอนกรรมสิทธิ์ได้ก่อนที่มาตรการกำกับดูแลสินเชื่อที่อยู่อาศัยของทางธนาคารแห่งประเทศไทยจะประกาศใช้ จึงไม่ค่อยเปิดตัวโครงการใหม่มากนัก
ส่วนในช่วงไตรมาสที่ 2 ที่ผ่านมา ช่วง 2 เดือนแรกผู้ประกอบการก็ยังคงไม่เปิดตัวโครงการใหม่ เนื่องจากส่วนใหญ่จะรอเปิดตัวโครงการหลังจากการเลือกตั้งครั้งใหม่เสร็จสิ้น เพื่อรอความชัดเจนสำหรับรัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามาบริหารประเทศ และเริ่มทยอยเปิดตัวโครงการใหม่กันเป็นจำนวนมากในช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา
ในเดือนสุดท้ายของไตรมาสที่ 2 พบว่า มีคอนโดมิเนียมเปิดขายใหม่สูงถึง 5,100 ยูนิต จากหน่วยเปิดขายใหม่ทั้งหมดในช่วงไตรมาสที่ 2 ที่ประมาณ 9,632 ยูนิต หรือคิดเป็น 52.94% แม้ว่าจะมีปัจจัยลบต่างๆ มากมาย แต่ผู้ประกอบการจำเป็นที่จะต้องทยอยเปิดตัวโครงการใหม่ เนื่องจากหากชะลอออกไปจะกระจุกตัวอยู่ในช่วงครึ่งปีหลังซึ่งอาจจะเป็นปัญหาสำหรับผู้ประกอบการต่อไป
จากข้อมูลพบว่า ในช่วงครึ่งแรกของปี 2562 ผู้ประกอบการให้ความสนใจพัฒนาคอนโดมิเนียมตามแนวรถไฟฟ้า BTS สายปัจจุบัน ประมาณ 7,403 ยูนิต คิดเป็น 40.95% ของคอนโดมิเนียมที่เปิดขายใหม่ในช่วงครึ่งแรกของปีทั้งหมด ส่วนตามแนวรถไฟฟ้า MRT มีโครงการเปิดตัวอีกประมาณ 3,094 ยูนิต หรือคิดเป็น 17.10% ส่วนแนวรถไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างมีคอนโดเปิดใหม่อีกประมาณ 7,578 ยูนิต หรือคิดเป็น 41.95%
สำหรับสถานีที่มีโครงการคอนโดเปิดตัวมากที่สุด ได้แก่ สถานี BTS ปุณณวิถี ที่ประมาณ 1,161 ยูนิต รองลงมา คือ รอบๆ สถานี BTS เอกมัย ที่ประมาณ 1,148 ยูนิต และ รอบๆ สถานี MRT พระราม 9 อีกประมาณ 1,025 ยูนิต
เศรษฐกิจชะลอตัว-LTV ฉุดตลาดอสังหาฯซึมยาว
ปิดครึ่งปีแรกไปด้วยความหงอยเหงาสำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ปี 2562 ด้วยเพราะปัจจัยลบทั้งในและนอกที่รุมเร้ายืดยาวเป็นหางว่าวทำเอาตลาดชะงักไปพอสมควร โชคยังดีที่ไตรมาสแรกยังเก็บรายได้จากการเร่งขาย เร่งโอน ก่อนถูกคุมด้วยมาตรการกำกับดูแลสินเชื่อที่อยู่อาศัยกันได้อยู่พอควร ทำให้รวม 2 ไตรมาสของครึ่งปีแรกตัวเลขติดลบยังพอกัดฟันยอมรับได้
แต่ถ้ามองไปในครึ่งปีหลัง คงต้องนั่งหายใจกันลึกๆ เพราะอยากที่บอกว่า ปัจจัยลบมียืดยาวเป็นหางว่าว แถมยังมองหาปัจจัยบวกยังไม่เจอ งานนี้ผู้ประกอบการหลายรายถึงกับถอดใจขอปรับเข้าโหมดรักษาตัวให้รอดไปถึงปีหน้าเป็นพอ หลังจากคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้หั่นประมาณการการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยจาก 3.8% เหลือ 3.3% พร้อมกับให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.75% ต่อปี
ปัญหาใหญ่คือ เศรษฐกิจไทยไม่เดินหน้าแต่กลับถอยหลังขยายตัวต่ำกว่าที่ประเมินกันไว้จากการค้าการส่งออกและการท่องเที่ยวที่ขยายตัวต่ำกว่าที่คาดการณ์ รวมถึงรายได้และการจ้างงานที่มีสัญญาณชะลอตัวลงในภาคการผลิตเพื่อส่งออก การลงทุนภาคเอกชนมีแนวโน้มขยายตัวชะลอลง และการใช้จ่ายภาครัฐก็มีแนวโน้มขยายตัวต่่ากว่าที่ประเมินไว้เช่นกัน ขณะที่สงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐแม้จะประกาศพักรบกันไปอีกรอบ แต่ก็ยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะการเจรจามีโอกาสจะเป็นได้ทั้งข่าวดี และข่าวร้าย
นอกจากนี้ มาตรการกำกับดูแลสินเชื่อที่อยู่อาศัยของธนาคารแห่งประเทศไทยมีผลทั้งทางตรงและทางอ้อมที่ทำให้ตลาดวูบไปมากในไตรมาสที่ 2 โดยธนาคารแห่งประเทศไทยได้ประเมินสถานการณ์เบื้องต้นมาแล้วว่า ยอดปล่อยสินเชื่อใหม่สำหรับผู้กู้บ้านหลังที่ 2 ขึ้นไปลดลง 23% นั่นคือผลทางตรง ส่วนผลทางอ้อมคือ ความไม่รู้ หรือไม่เข้าใจของผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งลูกค้า ผู้ประกอบการ หรือธนาคารพาณิชย์ ทำให้เกิดชะลอการตัดสินใจ หรือปฏิเสธสินเชื่อก็มีอยู่จำนวนมาก
ทั้งหมดคือต้นสายปลายเหตุที่ทำให้ตลาดอสังหาฯในครึ่งปีแรกไม่สดใส และในครึ่งปีหลังจะยิ่งหนักกว่า ถ้ารัฐบาลใหม่ยังไม่เข้ามาทำอะไรให้ความเชื่อมั่นต่างๆ กลับคืนมา
ศก.-LTV ป่วน อสังหาฯปี 62 ทรุด
ประกอบกับเรื่องหนี้ครัวเรือนที่ยังคงอยู่ในระดับที่สูง ทำให้สถาบันการเงินเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัย โดยภาพรวมคาดว่าตลาดรวมจะติดลบประมาณ 15% แต่หากแยกเป็นประเภทที่อยู่อาศัยแล้ว ตลาดประเภทอาคารชุดพักอาศัยจะติดลบประมาณ 20% ที่อยู่อาศัยแนวราบติดลบประมาณ 10
อย่างไรก็ตาม ในภาพรวมครึ่งปีแรกนั้น ตลาดจะไม่ได้ชะลอตัวลงมาก เนื่องจากได้รับอานิสงส์อย่างมากจากยอดขายและยอดโอนโครงการในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2562 (ม.ค.-มี.ค.) ก่อนที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะเริ่มใช้มาตรการกำกับดูแลสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ในวันที่ 1 เมษายน ซึ่งถือเป็นสถานการณ์ที่ไม่ปกติ
"เรากำลังหารือกับทาง 3 สมาคมอสังหาริมทรัพย์ว่าจะดำเนินการอย่างไร เพื่อสร้างความเชื่อมั่น นอกจากนี้ยังเป็นห่วงเรื่องเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ทำให้ราคาอสังหาริมทรัพย์ของไทยมีราคาแพงขึ้น แต่หากมีการผ่อนปรนเรื่องนโยบายดอกเบี้ย โดยการลดดอกเบี้ยลงมาจะส่งผลให้เงินบาทของไทยอ่อนค่าลงได้"
คาดตลาดซึมยาว รอปีหน้ารอฟื้นตัว
ด้านนายปริญญา เธียรวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วี.เอ็ม.พี.ซี. จำกัด (VMPC) ผู้นำธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ทั้งเพื่อขายและให้เช่า เปิดเผยว่า สถานการณ์เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีแรก 2562 อยู่ในภาวะชะลอตัว ส่งผลให้ภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ซบเซา แม้ว่าทางภาครัฐจะออกมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ แต่เกิดประโยชน์ต่อผู้ประกอบการเพียงบางกลุ่มเท่านั้น
สำหรับมาตรการกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ถือเป็นเป็นมาตรการที่ดีสำหรับประเทศไทย แต่ในแง่ของภาคอสังหาริมทรัพย์โดยรวมแล้วคงต้องใช้ระยะเวลาในการปรับตัวอีกระยะหนึ่ง และในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2562 คาดการณ์ว่าภาพรวมเศรษฐกิจไทยและธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะยังไม่ฟื้นตัว เนื่องจากยังมีปัจจัยเสี่ยงจากสภาวะเศรษฐกิจโลกที่อยู่ในภาวะชะลอตัว อย่างไรก็ตาม คาดว่าปี 2563 ภาพรวมเศรษฐกิจไทยและธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น
นายปริญญา กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับบริษัทซึ่งประกอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ทั้งขายและให้เช่า โดยปัจจุบัน VMPC มีสัดส่วนรายได้จากอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย 60% และอสังหาริมทรัพย์ให้เช่า 40%
เพื่อการบริหารจัดการและการกระจายความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ โดยในส่วนของอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย เน้นเจาะตลาดระดับบนหรือกลุ่มไฮเอนด์ บนทำเลศักยภาพ สำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้เช่าจะมีความหลากหลาย
มั่นใจเจาะเรียลดีมานด์ยังไปต่อได้
ขณะที่นายชยพล หรรรุ่งโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อัลติจูด ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด กล่าวว่า ตั้งแต่ปลายปีที่แล้วจนถึงครึ่งแรกของปีนี้ถือว่าสถานการณ์หนักมาก จึงคาดว่า ครึ่งปีหลังคงไม่หนักไปกว่านี้แล้ว การแข่งขันในตลาดอยู่ที่ตัวโปรดักต์ว่าใครจะตอบโจทย์ผู้บริโภคทั้งในเรื่องของไลฟ์สไตล์ที่ลงลึกไปในหลายมิติ รวมถึงการช่วยลดต้นทุนการใช้ชีวิตให้กับลูกค้าได้
ขณะที่ นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย กลับเห็นว่า แม้ว่าสถานการณ์จะไม่ดี ตลาดมีโอกาสที่จะติดลบซึ่งก็หวังว่าจะติดลบไม่มากนัก แต่ถ้ามองในแง่ดีซัพพลายที่จะเข้าสู่ตลาดก็จะลดน้อยลงไปด้วย และเป็นตลาดที่เป็นเรียลดีมานด์ ถ้าสามารถพัฒนาโครงการที่จับกลุ่มที่มีความต้องการที่แท้จริง ในราคาที่ถูกต้องเหมาะสมก็เชื่อว่าจะยังขายได้
สำหรับในครึ่งปีหลัง บริษัทยังคงเปิดตัวโครงการใหม่รวม 22 โครงการ มูลค่ารวม 2.1 หมื่นล้านบาท เป็นบ้านแนวราบ 19 โครงการทั้งในกทม. ปริมณฑล และต่างจังหวัด และคอนโดมิเนียมอีก 3 โครงการ โดยล่าสุดได้เปิดตัวโครงการศุภาลัย ปาร์ค สถานีแยกไฟฉาย เป็นคอนโด บนเนื้อที่ 6 ไร่ มูลค่าโครงการ 2,270 ล้านบาท จับกลุ่มผู้ที่ต้องการอยู่อาศัยจริง และซื้อเพื่อลงทุนปล่อยเช่า เพราะอยู่ไม่ไกลจากโรงพยาบาลศิริราช
โครงการดังกล่าว แบ่งเป็นอาคารชุดพักอาศัย สูง 22 ชั้น (รวมดาดฟ้า) 2 อาคาร สไตล์โมเดิร์น จำนวนห้องชุดพักอาศัย 726 ยูนิต (Tower A จำนวน 374 ยูนิต และ Tower B จำนวน 352 ยูนิต) ขนาดห้องตั้งแต่ 29.5-74.5 ตารางเมตร ราคาขายเริ่มต้นที่ 60,500-72,000 บาทต่อตารางเมตร ราคาขายต่อยูนิตเริ่มต้นที่ 2.03 ล้านบาท โดยจะเปิดขายในวันที่ 20-21 กรกฎาคมนี้
ครึ่งปีหลังคอนโดจ่อเปิดใหม่ 2 หมื่นยูนิต
ด้านนางนลินรัตน์ เจริญสุพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด เผยว่า ภาพรวมคอนโดมิเนียมเปิดใหม่ในครึ่งปีแรก 2562 มีจำนวนทั้งสิ้น 23,600 หน่วย ใกล้เคียงกับตัวเลข ครึ่งปีแรก 2561 เฉพาะไตรมาส 2 มีโครงการคอนโดมิเนียมเปิดใหม่ 12,300 หน่วย จาก 30 โครงการ โดยมีโครงการในระดับลักชัวรี่ และซูเปอร์ลักซูรี่ในทำเลซูเปอร์ไพรม์เกิดใหม่หลายโครงการ โดยเฉพาะทำเลสาทร วิทยุ และหลังสวน
จับตามองในช่วงไตรมาส 3 จนถึงสิ้นปี ยังมีโครงการใหม่ๆ เตรียมเปิดตัวอีกหลายโครงการ ถ้านับเฉพาะผู้ประกอบการในตลาดหลักทรัพย์มีมากกว่า 14,000 หน่วย จาก 44 โครงการ และหากรวมคอนโดมิเนียมจากผู้ประกอบการรายย่อยที่ประกาศตัวว่า จะเปิดขายในครึ่งปีหลังด้วยแล้ว น่าจะมีคอนโดมิเนียมเกิดขึ้นในตลาดอีกไม่ต่ำกว่า 52 โครงการ มากกว่า 20,000 หน่วย
ทำเลที่คอนโดมิเนียมใหม่จะเปิดมากกว่าครึ่งเป็นทำเลใจกลางเมือง โดยเฉพาะทำเล สามย่าน พญาไท ราชเทวี นอกจากนี้ ทำเลสุขุมวิท ทองหล่อ และหลังสวน ก็จะมีอีกหลายโครงการ และด้วยทำเลที่ค่อนข้างดีมาก เป็นที่ดินแปลงหายาก ซึ่งส่วนใหญ่ซื้อมาตั้งแต่ปีที่แล้ว ทำให้ราคาขายในคอนโดมิเนียมใหม่เหล่านี้ ปรับตัวสูงขึ้นจากราคาเฉลี่ยคอนโดมิเนียมใจกลางเมืองที่เปิดตัวเมื่อปีที่แล้วอีกพอสมควร คาดว่าไม่ต่ำกว่า 10%
ตลาดในช่วงครึ่งปีหลังคงจะขับเคี่ยวกันอย่างเข้มข้น ทั้งของเก่าที่มีอยู่และของใหม่ที่กำลังจะออกมา ดูแค่ครึ่งปีแรกก็ลดแลกแจกแถมอยู่ฟรี กินฟรีกันสะบั้นหั่นแหลกแล้ว ถ้าเศรษฐกิจยังไม่พลิกฟื้น ความเชื่อมั่นยังไม่คืนกลับ ตลาดอสังหาฯครึ่งปีหลังคงทะลุจุดเดือดแน่นอน
บริษัทรายกลางผนึกทุนญี่ปุ่นเสริมเขี้ยวเล็บสู้ศึกอสังหาฯ
ในรอบหลายปีที่ผ่านมาทุนใหญ่จากประเทศญี่ปุ่นได้เข้ามาขยายฐานธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในไทย เนื่องจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในญี่ปุ่นถึงจุดอิ่มตัว ผลตอบแทนต่ำจึงจำเป็นต้อง search for yield เพื่อการค้นหาผลตอบแทนที่สูงกว่าในประเทศอื่นๆ ซึ่งไทยคือเป้าหมายหนึ่ง เพราะมีความโดดเด่นในฐานะเมืองศูนย์กลางของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ทัพใหญ่จากญี่ปุ่น เช่น มิตซูบิชิ, มิตซุย, ซูมิโตโม, โนมูระ, โตคิว, อิโตชู, ฮันคิว ฮันชิน, นิชิเทตสึ เป็นต้น ได้กรีธาทัพเข้าสู่สมรภูมิอสังหาริมทรัพย์เมืองไทยโดยการเข้าร่วมลงทุนกับบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ไทยในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทไทยเดินหน้าพัฒนาโครงการทั้งคอนโดมิเนียม บ้านเดี่ยวกันไปแล้วมูลค่านับแสนล้านบาท คราวนี้ถึงคิวที่บริษัทรายกลาง-รายเล็กจะได้เสริมทัพเพิ่มศักยภาพกันบ้าง
ล่าสุด บริษัท อัลติจูด ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ได้ร่วมลงทุนกับ ครีทกรุ๊ป (Creed Group) บริษัทลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์จากญี่ปุ่น พัฒนาโครงการ อัลติจูด ยูนิคอร์นสาทร–ท่าพระ คอนโดมิเนียมย่านตลาดพลู เป็นโครงการนำร่องก่อนที่จะขยายการลงทุนไปในโครงการอื่นๆ ต่อไป
“การร่วมกับพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ระดับโลกเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์สำคัญที่จะทำให้บริษัทเติบโตอย่างก้าวกระโดด ซึ่งการร่วมทุนกันครั้งนี้ สิ่งสำคัญคือ ความต้องการที่ตรงกัน ซึ่งที่ผ่านมา ครีทกรุ๊ป เน้นการลงทุนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นตลาดหลัก และมีเป้าหมายหลักคือการเติบโตในภูมิภาคนี้
อัลติจูด ยูนิคอร์น คอนโดร่วมทุนระหว่างอัลติจูด ดีเวลลอปเม้นท์กับ ครีท กรุ๊ป |
การร่วมทุนในครั้งนี้ นอกจากเม็ดเงินในการลงทุนแล้ว อัลติจูด ยังได้นำแนวคิดการออกแบบในสไตล์ญี่ปุ่นมาใช้ในการออกแบบคอนโดมิเนียม โดยเฉพาะในเรื่องของฟังก์ชั่นการใช้สอยในพื้นที่ที่มีอยู่จำกัด นอกจากนี้ ครีทกรุ๊ป ยังมีเครือข่ายพันธมิตรด้านการตลาดในภูมิภาคที่แข็งแรงมากซึ่งจะเป็นประโยชน์ในด้านตลาดต่างประเทศของบริษัท
ขณะที่ โตชิฮิโกะ มูเนโยชิ ผู้ก่อตั้งและกรรมการผู้จัดการ ครีท กรุ๊ป กล่าวว่า บริษัทได้ศึกษาตลาดอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยเป็นเวลา 5 ปี และใช้เวลา 2 ปีในการหาพันธมิตรที่เหมาะสม การร่วมทุนกับ อัลติจูด ดีเวลลอปเม้นท์ ซึ่งเป็นบริษัทอสังหาฯรายกลางที่มีศักยภาพในการเติบโต มีความแตกต่างจากบริษัทอื่นๆ เป็นคนรุ่นใหม่ที่มีแนวทางการพัฒนาที่สร้างสรรค์ และฉีกแนวออกไป ซึ่งบริษัทก็พร้อมที่จะเติบโตร่วมกับอัลติจูด ดีเวลลอปเม้นท์ ในการพัฒนาโครงการต่อๆ ไป
Loft One Plus ดีไซน์สไตล์ญี่ปุ่นเน้นฟังก์ชั่นใช้สอย |
“เราอยากเชื่อมต่อระหว่างญี่ปุ่นกับไทยเข้าด้วยกันในเรื่องของอสังหาริมทรัพย์ การบริหารทรัพย์สิน และการลงทุน ซึ่งที่ผ่านมาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในไทยเติบโตมาอย่างต่อเนื่อง และไม่คิดว่าจะเติบโตได้เร็วมาก บริษัทจึงให้ความสนใจลงทุนในไทยเป็นนพิเศษ” มูเนโยชิ กล่าว
ก่อนหน้าที่ ครีท กรุ๊ป จะร่วมลงทุนกับบริษัทรายกลางๆ อย่าง อัลติจูด ดีเวลลอปเม้นท์ ก็มีเคสการร่วมทุนของบริษัทรายกลาง-รายเล็กมาบ้างแล้ว อย่างเช่น การร่วมทุนระหว่าง ชินวะ กรุ๊ป จากเมืองโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น กับบริษัท บริษัท วรลักษณ์ พร๊อพเพอร์ตี้ พัฒนาคอนโดฯ รูเนะสุ ทองหล่อ 5 และร่วมทุนกับบริษัท พรีบิลท์ โดยดึง Pressance Corporation บริษัทอสังหาฯญี่ปุ่นอีกรายมาร่วมพัฒนาคอนโด เร็น สุขุมวิท 39
การร่วมทุนระหว่างรีโว เอสเตทของไทยกับซีอาร์สโฮมจากญี่ปุ่น |
เรซิโอ-โฮม วงแหวน-รามอินทรา ภายใต้แนวคิด Exclusive Japanese Sensational Living |
การขยายการลงทุนของอสังหาฯญี่ปุ่นในไทยคงจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและถือเป็นโอกาสที่ดีของอสังหาฯ รายกลาง รายเล็กของไทยที่มีมาตรฐานแบบมืออาชีพ อาจจะเตะตาต้องใจได้พันธมิตรญี่ปุ่นมาเสริมสร้างความแข็งแกร่งทั้งด้านการเงินและนวัตกรรมการอยู่อาศัย ให้ยืนหยัดในตลาดสู้กับรายใหญ่ได้แบบสมน้ำสมเนื้อมากขึ้น
เพอร์เฟคโชว์พอร์ตโรงแรม ปีนี้ปั๊มรายได้โต 44%
ชายนิด อรรถญาณสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค กล่าวว่า แนวโน้มในปีนี้คาดว่าธุรกิจโรงแรมของบริษัทจะมีผลประกอบการเติบโตอย่างโดดเด่น ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยที่ยังคงเติบโต มีจำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาในประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ประเทศไทยยังคงมีศักยภาพและโอกาสทางการท่องเที่ยว ทั้งความหลากหลายของทรัพยากรท่องเที่ยว และด้านที่ตั้งซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
สำหรับธุรกิจโรงแรมของกลุ่มบริษัทในปีนี้ คาดจะมีรายได้ 4,200 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 44% จากปีที่ผ่านมา โดยจะเป็นรายได้จากโรงแรมในประเทศ ภายใต้บริษัท แกรนด์ แอสเสท โฮเทลส์ แอนด์ พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) จำนวน 3,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 1,739 ล้านบาทในปีก่อน และอีก 1,200 ล้านบาท มาจากโรงแรมต่างประเทศ ซึ่งปีที่ผ่านมาทำได้ 1,175 ล้านบาท โดยรายได้จากธุรกิจโรงแรมจะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 20% ของรายได้รวมของบริษัท เทียบกับปีที่ผ่านมาซึ่งคิดเป็น 14.8%
นอกจากนี้ ในปี 2564 กลุ่มบริษัทยังตั้งเป้าจะเพิ่มรายได้จากธุรกิจโรงแรมไว้ที่ 5,300 ล้านบาท โดยคาดว่ารายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติจะมีการขยายตัวต่อเนื่อง ซึ่งลูกค้าโรงแรมของกลุ่มบริษัท 5 อันดับแรกเป็นชาวต่างประเทศ ได้แก่ จีนซึ่งเป็นกลุ่มท่องเที่ยว รองลงมาเป็นญี่ปุ่นซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มธุรกิจ จากสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นกลุ่มประชุม จากอินเดียที่นิยมมาจัดงานแต่งงาน และชาวเกาหลี ซึ่งเป็นทั้งกลุ่มธุรกิจและท่องเที่ยวในสัดส่วนเท่าๆ กัน
“ช่วงครึ่งปีที่ผ่านมานี้ ธุรกิจโรงแรมของกลุ่มบริษัทมีผลการดำเนินงานที่ดี โดยเฉพาะโรงแรมในกรุงเทพฯ ที่มีการเปิดตัวโรงแรมแห่งใหม่ ไฮแอท รีเจนซี่ กรุงเทพ สุขุมวิท มีการเปิดรูฟท็อปบาร์ มีอัตราการเข้าพักที่เพิ่มขึ้น และมีรายได้เฉลี่ยต่อห้องเพิ่มขึ้น บวกกับการปรับกลยุทธ์มาขยายฐานลูกค้ากลุ่มไมซ์ (MICE) หรือกลุ่มธุรกิจและการประชุมมากขึ้น ซึ่งโรงแรมของเรามีความพร้อมสำหรับการจัดประชุมอยู่แล้ว ทั้งในด้านทำเลที่ตั้งและสถานที่จัดประชุม ทำให้สัดส่วนระหว่างลูกค้ากลุ่มธุรกิจและกลุ่มท่องเที่ยว เพิ่มเป็น 55:45 ช่วยเพิ่มรายได้ในส่วนของอาหารและเครื่องดื่มให้กับโรงแรม โดยนักเดินทางกลุ่มไมซ์ยังมีแนวโน้มการเติบโตได้อีกมาก”
ปัจจุบันกลุ่มบริษัทมีโรงแรมทั้งหมด 7 แห่ง รวม 2,077 ห้องพัก บริหารงานโดยกลุ่มแมริออท และไฮแอท เป็นโรงแรมในประเทศ 5 แห่ง รวม 1,655 ห้องพัก ได้แก่ เดอะ เวสทิน แกรนด์ สุขุมวิท, รอยัล ออคิด เชอราตัน, ไฮแอท รีเจนซี่ กรุงเทพ สุขุมวิท, เชอราตัน หัวหิน รีสอร์ท แอนด์ สปา และ เชอราตัน หัวหิน ปราณบุรี วิลล่า ส่วนโรงแรมต่างประเทศ มี 2 แห่ง รวม 422 ห้องพัก คือ เชอราตัน ฮอกไกโด คิโรโระ รีสอร์ท และ เดอะ คิโรโระ อะ ทรีบิวต์ พอร์ตโฟลิโอ ฮอกไกโด นอกจากนี้ ยังเดินหน้าสร้างโรงแรมแห่งใหม่บริเวณหาดแม่พิมพ์จังหวัดระยอง ในแบบมิกซ์ยูสประกอบด้วยโรงแรมขนาด 201 ห้องพัก คอนโดมิเนียม และ พูลวิลล่า
บิ๊กอสังหาฯโหมโปรช่วยคนซื้อ หวังเร่งระบายสต๊อกบ้าน
นับตั้งแต่เริ่มต้นไตรมาสที่ 2 จนเหลือเวลาอีกไม่กี่วันจะปิดไตรมาส ตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังคงอยู่ในภาวะสงบนิ่งจนน่าใจหาย หลายคนฟันธงว่า เป็นผลมาจากมาตรการคุมสินเชื่อที่อยู่อาศัยคือตัวการหลักที่ฉุดตลาดให้หดตัวไปไม่น้อยกว่า 20% แต่ก็ยังมีปัจจัยอื่นๆ เป็นองค์ประกอบสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นภาวะเศรษฐกิจโลกที่อึมครึมจากสงครามการค้าสหรัฐ-กับจีน และสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางระหว่างสหรัฐกับอิหร่าน รวมถึงภาวะเศรษฐกิจไทยที่อยู่ในภาวะสุญญากาศ จากการที่ยังไม่มีรัฐบาลใหม่เข้ามาขับเคลื่อนนโยบายบริหารประเทศ
วันนี้ กำลังซื้ออ่อนตัวลงไปมาก หากไม่ทำอะไรสักอย่าง เห็นทีคงได้ปิดไตรมาส 2 แบบมือเปล่าเป็นแน่แท้ แต่ละค่ายจึงต้องจัดหนัก กระตุ้นตลาดด้วยแคมเปญพิเศษ ที่สามารถช่วยปลุกกำลังซื้อให้ตื่นขึ้นมาให้ได้ โดยเฉพาะการปลอดล็อคภาระต่างๆ ที่มีอยู่ ให้ลูกค้าตัดสินใจได้ง่ายที่สุด เร็วที่สุด สารพัดโปร เพื่อช่วยให้ลูกค้ามีบ้านได้ง่ายๆ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ จึงถูกนำมามาใช้แบบไม่มีต้องยั้งมือ เพื่อช่วยผู้ซื้อ แฃะช่วยตัวเองในการระบายสต๊อกบ้านพร้อมอยู่ให้ได้มากที่สุด ล่าสุด บริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลอปเม้นท์ เปิดแคมเปญใหม่ ซึ่งถือเป็นภาค 2 ต่อจากแคมเปญชายเติม ที่เพิ่งปิดจ๊อบไปเมื่อเดือนที่ผ่านมา
โอภาส ศรีพยัคฆ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทได้จัดโปรโมชั่น “ลุมพินี เติม เพิ่มให้” ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นการสานฝันคนอยากมีบ้าน และเป็นการกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์ให้มีสีสันมากขึ้น หลังจากที่ภาครัฐเองก็ให้ความสำคัญ เห็นได้จากมาตรการรัฐที่ออกมาเพื่อรองรับกลุ่มที่ต้องการบ้านเพื่ออยู่อาศัยจริง
สำหรับ “ลุมพินี เติม เพิ่มให้” จะมอบสิทธิพิเศษให้กับลูกค้าเมื่อซื้อคอนโด หรือบ้าน โดยที่บริษัทพร้อมเติมให้ทันที 3 ขั้น ยกตัวอย่าง เมื่อซื้อห้องชุดราคาขายที่ 1,840,000 บาท ขั้นแรก เติมเงินดาวน์ให้ทั้งจำนวน 10% เป็นเงิน 184,000 บาท คงเหลือเงินโอน 1,656,000 บาท ซึ่งธนาคารที่สนับสนุนจะเป็นผู้อนุมัติสินเชื่อให้ในส่วนที่เหลือ 90%วันนี้ กำลังซื้ออ่อนตัวลงไปมาก หากไม่ทำอะไรสักอย่าง เห็นทีคงได้ปิดไตรมาส 2 แบบมือเปล่าเป็นแน่แท้ แต่ละค่ายจึงต้องจัดหนัก กระตุ้นตลาดด้วยแคมเปญพิเศษ ที่สามารถช่วยปลุกกำลังซื้อให้ตื่นขึ้นมาให้ได้ โดยเฉพาะการปลอดล็อคภาระต่างๆ ที่มีอยู่ ให้ลูกค้าตัดสินใจได้ง่ายที่สุด เร็วที่สุด สารพัดโปร เพื่อช่วยให้ลูกค้ามีบ้านได้ง่ายๆ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ จึงถูกนำมามาใช้แบบไม่มีต้องยั้งมือ เพื่อช่วยผู้ซื้อ แฃะช่วยตัวเองในการระบายสต๊อกบ้านพร้อมอยู่ให้ได้มากที่สุด ล่าสุด บริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลอปเม้นท์ เปิดแคมเปญใหม่ ซึ่งถือเป็นภาค 2 ต่อจากแคมเปญชายเติม ที่เพิ่งปิดจ๊อบไปเมื่อเดือนที่ผ่านมา
โอภาส ศรีพยัคฆ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทได้จัดโปรโมชั่น “ลุมพินี เติม เพิ่มให้” ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นการสานฝันคนอยากมีบ้าน และเป็นการกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์ให้มีสีสันมากขึ้น หลังจากที่ภาครัฐเองก็ให้ความสำคัญ เห็นได้จากมาตรการรัฐที่ออกมาเพื่อรองรับกลุ่มที่ต้องการบ้านเพื่ออยู่อาศัยจริง
ขั้นที่สอง เติมค่าตกแต่งเฟอร์นิเจอร์ให้อีก 100,000 บาท พร้อมเครื่องปรับอากาศ ขั้นสุดท้าย เติมค่าใช้จ่ายวันโอนกรรมสิทธิ์ “ทุกรายการ” รวมแล้วบริษัทจะช่วยเติมให้สูงสุดถึง 700,000 บาท สำหรับคอนโดมิเนียมที่เริ่มแคมเปญมีราคาเริ่มต้นที่ 1,160,000 บาท เงินจอง 5,000 บาท กับ 7 ทำเลในเมือง ส่วนบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์ ราคาเริ่มที่ 1,800,000 บาท เงินจอง 10,000 บาท กับ 6 ทำเลพร้อมอยู่ สำหรับแคมเปญนี้เริ่มตั้งแต่วันนี้ – สิ้นเดือน มิ.ย.นี้
บริษัท แสนสิริ ได้ปล่อยโปรโมชั้น “เคลียร์ครบ จบพร้อมโอน” ข้อเสนอพิเศษที่ทำให้ลูกค้ามีบ้านได้ง่ายขึ้น ด้วยการปกป้องจากทุกมาตรการรัฐและมอบโปรโมชั่นพิเศษแบบเน้นๆ เพื่อขจัดทุกอุปสรรคการซื้อและโอนบ้านที่เป็นเจ้าของได้ไม่ยาก อาทิ คอนโดใกล้รถไฟฟ้า ราคาเริ่มต้น 2.49 ล้านบาท และบ้านเดี่ยวราคาเริ่มต้นที่ 3.59 ล้านบาท และยังอัดฉีดเพิ่มด้วยส่วนลดสูงสุดกว่า 1.5 ล้านบาท โดยทีมงานของแสนสิริจะเป็นที่ปรึกษาให้กับลูกค้าที่มีปัญหาเรื่องการซื้อบ้านแบบเคสบายเคส เริ่ม ตั้งแต่วันที่ 14 มิถุนายน-30 กันยายน 2562
บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ส่งแคมเปญ “นาทีนี้ อนันดาฯ เท่านั้น” นำ 10 คอนโดคุณภาพใกล้รถไฟฟ้าพร้อมอยู่ในราคาเริ่มต้น 1.79 -5.99 ล้านบาท พร้อมข้อเสนอสุดพิเศษเกินห้ามใจ!! “กู้เต็ม 100% ผ่อน 0 บาท นาน 2 ปี ฟรี โอนฯ” ตั้งแต่วันนี้ - 19 กรกฎาคม 2562 ที่ Sales Gallery ทุกโครงการที่เข้าร่วมแคมเปญ
ขณะที่ บริษัท เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ได้เปิดตัวแคมเปญ “ให้อยู่ฟรีก่อนโอนฯ” โดยนำคอนโดพร้อมอยู่ 3 ทำเล ราคาเริ่มต้น 1.7 ล้านบาท ให้ลูกค้าที่เช่าห้องได้อยู่ฟรี 6 เดือน ก่อนโอน เพื่อลดภาระ และเพิ่มโอกาสให้กับลูกค้าที่เป็นเรียลดีมานด์
ขณะที่ บริษัท เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ได้เปิดตัวแคมเปญ “ให้อยู่ฟรีก่อนโอนฯ” โดยนำคอนโดพร้อมอยู่ 3 ทำเล ราคาเริ่มต้น 1.7 ล้านบาท ให้ลูกค้าที่เช่าห้องได้อยู่ฟรี 6 เดือน ก่อนโอน เพื่อลดภาระ และเพิ่มโอกาสให้กับลูกค้าที่เป็นเรียลดีมานด์
ทั้งนี้ บริษัทได้นำ 3 โครงการภายใต้แบรนด์ “นิช ไอดี” มาให้อยู่ฟรีก่อนโอนกรรมสิทธิ์ 6 เดือน ประกอบด้วย 1.โครงการ นิชไอดี เสรีไทย-วงแหวน ราคาเริ่ม 1.71 ล้านบาท 2.โครงการ นิช ไอดี เพชรเกษม-บางแค ราคาเริ่ม 1.7 ล้านบาท 3.โครงการ นิช ไอดี พระราม 2 – ดาวคะนอง ราคาเริ่ม 1.79 ล้านบาท โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายนถึงสิ้นเดือนธันวาคม 2562
เชื่อว่า โปรฯในลักษณะนี้จะยังมีออกมาเป็นระยะเพื่อปลุกความต้องการซื้อ เพราะยังมีสต๊อกบ้าน-คอนโดสร้างเสร็จพร้อมอยู่รอการระบายอีกจำนวนมาก หากผู้ประกอบการไม่เร่งรีบจัดการปัญหาอาจจะลุกลามบานปลายได้ในอนาคต
ส่องแนวคิดบ้านหรู 200 ล้าน มัลเบอร์รี่ โกรฟ กับการอยู่อาศัยแบบ Intergenneration
ส่องแนวคิดบ้านหรู 200 ล้าน แมกโนเลีย ส่งแบรนด์หรู มัลเบอร์รี่ โกรฟ เจาะตลาดซูเปอร์ลักชัวรี่ ปูพรม 3 โครงการ 19,900 ล้านบาท
มัลเบอร์รี่ โกรฟ ซูเปอร์ลักชัวรี่ เรสซิเดนซ์ แบรนด์ใหม่ล่าสุดของบริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น ตั้งราคาขายบ้านสุดหรูเอาไว้ในระดับ 100-200 ล้านบาท หรือถ้าเป็นคอนโดมิเนียมที่วางแผนเปิดตัวในช่วงไตรมาส 3 ที่ย่านเอกมัยก็ตั้งราคาไว้สูงลิ่ว 2-3 แสนบาทต่อตารางเมตร สำหรับห้องไซส์เล็กสุดขนาด 50 ตารางเมตร ราคาก็ต้องวิ่งอยู่ที่ 10-15 ล้านบาทเป็นอย่างต่ำ
เมื่อเป็นแบรนด์ระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ วิธีคิดก็ต้องไม่ธรรมดา เพราะมัลเบอร์รี่ โกรฟ เป็นปลายทางของงานวิจัยแนวโน้มการอยู่อาศัยระดับโลกมาอย่างต่อเนื่อง จนกลายมาเป็นแนวคิด Nurturing Intergenneration Happiness คือ การสานความสุขให้กับทุกเจเนอเรชั่น พร้อมกับการพัฒนาโครงการตามแนวคิดของ “For all wellbeing” ที่จะพัฒนาโครงการที่ดีกับทุกๆ คน
นายวิสิษฐ์ มาลัยศิริรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า ปัจจุบันครอบครัวสมัยใหม่มีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ เนื่องจากการแยกที่อยู่อาศัยออกมาจากครอบครัวใหญ่ โดยมาจากหลายปัจจัยของสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป ขณะที่บริษัทซึ่งให้ความสำคัญกับเรื่องของสภาพแวดล้อมทั้งภายในและภายนอก เพื่อสนับสนุนให้เกิดความสุขที่แท้จริงในชีวิต เห็นว่าความสุขของทุกเจเนอเรชั่นไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นเฉพาะโอกาสพิเศษ แต่ความสุขจากการอยู่ร่วมกันต้องเกิดขึ้นได้ทุกวัน
“แนวคิดดังกล่าวจึงเป็นที่มาของการพัฒนาแบรนด์ “มัลเบอร์รี่ โกรฟ” ขึ้นเพื่อให้เป็นมากกว่าที่พักอาศัย แต่เป็นพื้นที่เติมเต็มช่องว่างของคนในครอบครัวและการอยู่อาศัยแบบหลากหลายเจเนอเรชั่น เพื่อการสานความสัมพันธ์ และสร้างความสุขที่ยั่งยืนในชีวิตอย่างแท้จริง โดยหวังว่า “มัลเบอร์รี่ โกรฟ” จะช่วยให้เราได้กลับมามีความสุขกับคนในครอบครัว และสามารถสานความสุขให้คนในทุกเจเนอเรชั่นตามที่ได้ตั้งเป้าหมายไว้" นายวิสิษฐ์ กล่าว
มัลเบอร์รี่ โกรฟ ซูเปอร์ลักชัวรี่ เรสซิเดนซ์ แบรนด์ใหม่ล่าสุดของบริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น ตั้งราคาขายบ้านสุดหรูเอาไว้ในระดับ 100-200 ล้านบาท หรือถ้าเป็นคอนโดมิเนียมที่วางแผนเปิดตัวในช่วงไตรมาส 3 ที่ย่านเอกมัยก็ตั้งราคาไว้สูงลิ่ว 2-3 แสนบาทต่อตารางเมตร สำหรับห้องไซส์เล็กสุดขนาด 50 ตารางเมตร ราคาก็ต้องวิ่งอยู่ที่ 10-15 ล้านบาทเป็นอย่างต่ำ
เมื่อเป็นแบรนด์ระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ วิธีคิดก็ต้องไม่ธรรมดา เพราะมัลเบอร์รี่ โกรฟ เป็นปลายทางของงานวิจัยแนวโน้มการอยู่อาศัยระดับโลกมาอย่างต่อเนื่อง จนกลายมาเป็นแนวคิด Nurturing Intergenneration Happiness คือ การสานความสุขให้กับทุกเจเนอเรชั่น พร้อมกับการพัฒนาโครงการตามแนวคิดของ “For all wellbeing” ที่จะพัฒนาโครงการที่ดีกับทุกๆ คน
นายวิสิษฐ์ มาลัยศิริรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า ปัจจุบันครอบครัวสมัยใหม่มีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ เนื่องจากการแยกที่อยู่อาศัยออกมาจากครอบครัวใหญ่ โดยมาจากหลายปัจจัยของสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป ขณะที่บริษัทซึ่งให้ความสำคัญกับเรื่องของสภาพแวดล้อมทั้งภายในและภายนอก เพื่อสนับสนุนให้เกิดความสุขที่แท้จริงในชีวิต เห็นว่าความสุขของทุกเจเนอเรชั่นไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นเฉพาะโอกาสพิเศษ แต่ความสุขจากการอยู่ร่วมกันต้องเกิดขึ้นได้ทุกวัน
“แนวคิดดังกล่าวจึงเป็นที่มาของการพัฒนาแบรนด์ “มัลเบอร์รี่ โกรฟ” ขึ้นเพื่อให้เป็นมากกว่าที่พักอาศัย แต่เป็นพื้นที่เติมเต็มช่องว่างของคนในครอบครัวและการอยู่อาศัยแบบหลากหลายเจเนอเรชั่น เพื่อการสานความสัมพันธ์ และสร้างความสุขที่ยั่งยืนในชีวิตอย่างแท้จริง โดยหวังว่า “มัลเบอร์รี่ โกรฟ” จะช่วยให้เราได้กลับมามีความสุขกับคนในครอบครัว และสามารถสานความสุขให้คนในทุกเจเนอเรชั่นตามที่ได้ตั้งเป้าหมายไว้" นายวิสิษฐ์ กล่าว
3 ผู้บริหาร แมกโนเลีย จากซ้าย รุ่งโรจน์ จงศุจิพันธุ์ วิสิษฐ์ มาลัยศิริรัตน์ และ ชาคริต หัสสรังสี |
ด้านนายรุ่งโรจน์ จงศุจิพันธุ์ ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น กล่าวเพิ่มเติมว่า จากงานวิจัยทั้งในประเทศและต่างประเทศ มีผลยืนยันตรงกันว่า คนเราอยู่อาศัยร่วมกันน้อยลง มีปฏิสัมพันธ์กันน้อยลง จึงขาดการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ความสุขในชีวิตน้อยลง และนำไปสู่ปัญหาต่างๆ ทั้งในครอบครัวและสังคม
ทั้งนี้ จากผลสำรวจในด้านที่อยู่อาศัยของสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล เมื่อเดือนพฤษภาคม 2562 จากกลุ่มตัวอย่างทั่วประเทศ อายุตั้งแต่ 15-65 ปี รวม 400 คน พบว่า กลุ่มตัวอย่างถึง 70.8% ต้องการอยู่อาศัยในบ้านที่ประกอบด้วยสมาชิกหลายรุ่น โดยกลุ่มอายุ 40 ปีขึ้นไป ต้องการอยู่อาศัยหลายรุ่นสูงสุด คือ 80.7% นอกจากนี้ ยังพบว่า การอยู่อาศัยแบบครอบครัว 3 รุ่น ทำให้สมาชิกในครัวเรือนมีสุขภาพจิตที่ดีกว่าครัวเรือนรูปแบบอื่น“จากการที่ได้ศึกษาและวิจัยในประเด็นดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่อง โดยร่วมมือกับศูนย์วิจัยและนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน (RISC) ทำให้บริษัทเห็นแนวโน้มนี้ที่ชัดเจน จึงเป็นที่มาของการพัฒนาที่อยู่อาศัยภายใต้แบรนด์ “มัลเบอร์รี่ โกรฟ” เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ปัญหาการอยู่อาศัยหลากหลายช่วงวัย สร้างความผูกพันของครอบครัวให้แน่นแฟ้น ซึ่งเป็นรากฐานแห่งความสุขที่แท้จริง” นายรุ่งโรจน์กล่าว
ในปี 2562 แบรนด์มัลเบอร์รี่ โกรฟ จะมีโครงการที่อยู่อาศัยแบบ มัลติ-แพลตฟอร์มที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น Cluster Villa และ Condominium แบบไฮไรส์และโลว์ไรส์ โดยจะเปิดโครงการใหม่ 3 โครงการใน 2 ทำเล มูลค่าโครงการรวม 19,900 ล้านบาท และคาดว่าในปีหน้าจะมีการพัฒนาโครงการภายใต้แบรนด์ มัลเบอร์รี่ โกรฟ เพิ่มอีก 2 โครงการ
สำหรับโครงการแรกจะเป็นโครงการ “มัลเบอร์รี่ โกรฟ สุขุมวิท” ตั้งอยู่ริมถนนสุขุมวิท ห่างจาก 250 เมตร จากรถไฟฟ้า BTS เอกมัย เป็นคอนโด High Rise สูง 37 ชั้น จำนวน 286 ยูนิต มูลค่าโครงการ 5,000-6,000 ล้านบาท ราคาขายอยู่ที่ประมาณ 2-3 แสนบาทต่อตารางเมตร โดยมีกำหนดเปิดตัวในช่วงไตรมาส 3 ของปีนี้
มัลเบอร์รี่ โกรฟ สุขุมวิท โครงการแรกจะเปิดตัวในไตรมาสที่ 3 |