เพื่อนคู่คิดคนซื้อบ้าน-คอนโด รายงานความเคลื่อนไหวในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์

เพอร์เฟคโชว์พอร์ตโรงแรม ปีนี้ปั๊มรายได้โต 44%


ถือเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีธุรกิจโรมแรมอยู่ในมือมากถึง 7 แห่ง ทั้งในประเทศและต่างประเทศ สำหรับบริษัท พร็อเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) โดยในปีนี้คาดวาจะมีรายได้เติบโตถึง 44% จากธุรกิจท่องเที่ยวที่ยังคงเป็นดาวเด่นของประเทศไทย 


ชายนิด อรรถญาณสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พร็อพเพอร์ตี้  เพอร์เฟค กล่าวว่า แนวโน้มในปีนี้คาดว่าธุรกิจโรงแรมของบริษัทจะมีผลประกอบการเติบโตอย่างโดดเด่น ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยที่ยังคงเติบโต มีจำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาในประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ประเทศไทยยังคงมีศักยภาพและโอกาสทางการท่องเที่ยว ทั้งความหลากหลายของทรัพยากรท่องเที่ยว และด้านที่ตั้งซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

สำหรับธุรกิจโรงแรมของกลุ่มบริษัทในปีนี้ คาดจะมีรายได้ 4,200 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 44% จากปีที่ผ่านมา โดยจะเป็นรายได้จากโรงแรมในประเทศ ภายใต้บริษัท แกรนด์ แอสเสท โฮเทลส์ แอนด์ พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน)  จำนวน 3,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 1,739 ล้านบาทในปีก่อน และอีก 1,200 ล้านบาท มาจากโรงแรมต่างประเทศ ซึ่งปีที่ผ่านมาทำได้ 1,175 ล้านบาท  โดยรายได้จากธุรกิจโรงแรมจะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 20% ของรายได้รวมของบริษัท เทียบกับปีที่ผ่านมาซึ่งคิดเป็น 14.8%

นอกจากนี้ ในปี 2564 กลุ่มบริษัทยังตั้งเป้าจะเพิ่มรายได้จากธุรกิจโรงแรมไว้ที่  5,300 ล้านบาท  โดยคาดว่ารายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติจะมีการขยายตัวต่อเนื่อง   ซึ่งลูกค้าโรงแรมของกลุ่มบริษัท 5 อันดับแรกเป็นชาวต่างประเทศ ได้แก่ จีนซึ่งเป็นกลุ่มท่องเที่ยว รองลงมาเป็นญี่ปุ่นซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มธุรกิจ  จากสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นกลุ่มประชุม  จากอินเดียที่นิยมมาจัดงานแต่งงาน  และชาวเกาหลี ซึ่งเป็นทั้งกลุ่มธุรกิจและท่องเที่ยวในสัดส่วนเท่าๆ กัน

“ช่วงครึ่งปีที่ผ่านมานี้ ธุรกิจโรงแรมของกลุ่มบริษัทมีผลการดำเนินงานที่ดี โดยเฉพาะโรงแรมในกรุงเทพฯ ที่มีการเปิดตัวโรงแรมแห่งใหม่ ไฮแอท รีเจนซี่ กรุงเทพ สุขุมวิท  มีการเปิดรูฟท็อปบาร์  มีอัตราการเข้าพักที่เพิ่มขึ้น  และมีรายได้เฉลี่ยต่อห้องเพิ่มขึ้น บวกกับการปรับกลยุทธ์มาขยายฐานลูกค้ากลุ่มไมซ์ (MICE) หรือกลุ่มธุรกิจและการประชุมมากขึ้น  ซึ่งโรงแรมของเรามีความพร้อมสำหรับการจัดประชุมอยู่แล้ว ทั้งในด้านทำเลที่ตั้งและสถานที่จัดประชุม ทำให้สัดส่วนระหว่างลูกค้ากลุ่มธุรกิจและกลุ่มท่องเที่ยว เพิ่มเป็น 55:45 ช่วยเพิ่มรายได้ในส่วนของอาหารและเครื่องดื่มให้กับโรงแรม โดยนักเดินทางกลุ่มไมซ์ยังมีแนวโน้มการเติบโตได้อีกมาก”

ปัจจุบันกลุ่มบริษัทมีโรงแรมทั้งหมด 7 แห่ง รวม 2,077 ห้องพัก บริหารงานโดยกลุ่มแมริออท และไฮแอท เป็นโรงแรมในประเทศ 5 แห่ง รวม 1,655 ห้องพัก ได้แก่ เดอะ เวสทิน แกรนด์ สุขุมวิท, รอยัล ออคิด เชอราตัน, ไฮแอท รีเจนซี่ กรุงเทพ สุขุมวิท, เชอราตัน หัวหิน รีสอร์ท แอนด์ สปา และ เชอราตัน หัวหิน ปราณบุรี วิลล่า ส่วนโรงแรมต่างประเทศ มี 2 แห่ง รวม 422 ห้องพัก คือ เชอราตัน ฮอกไกโด คิโรโระ รีสอร์ท และ เดอะ คิโรโระ อะ ทรีบิวต์ พอร์ตโฟลิโอ ฮอกไกโด  นอกจากนี้ ยังเดินหน้าสร้างโรงแรมแห่งใหม่บริเวณหาดแม่พิมพ์จังหวัดระยอง ในแบบมิกซ์ยูสประกอบด้วยโรงแรมขนาด 201 ห้องพัก คอนโดมิเนียม และ พูลวิลล่า



Share:

บิ๊กอสังหาฯโหมโปรช่วยคนซื้อ หวังเร่งระบายสต๊อกบ้าน


นับตั้งแต่เริ่มต้นไตรมาสที่ 2 จนเหลือเวลาอีกไม่กี่วันจะปิดไตรมาส ตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังคงอยู่ในภาวะสงบนิ่งจนน่าใจหาย หลายคนฟันธงว่า เป็นผลมาจากมาตรการคุมสินเชื่อที่อยู่อาศัยคือตัวการหลักที่ฉุดตลาดให้หดตัวไปไม่น้อยกว่า 20% แต่ก็ยังมีปัจจัยอื่นๆ เป็นองค์ประกอบสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นภาวะเศรษฐกิจโลกที่อึมครึมจากสงครามการค้าสหรัฐ-กับจีน และสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางระหว่างสหรัฐกับอิหร่าน รวมถึงภาวะเศรษฐกิจไทยที่อยู่ในภาวะสุญญากาศ จากการที่ยังไม่มีรัฐบาลใหม่เข้ามาขับเคลื่อนนโยบายบริหารประเทศ

วันนี้ กำลังซื้ออ่อนตัวลงไปมาก หากไม่ทำอะไรสักอย่าง เห็นทีคงได้ปิดไตรมาส 2 แบบมือเปล่าเป็นแน่แท้ แต่ละค่ายจึงต้องจัดหนัก กระตุ้นตลาดด้วยแคมเปญพิเศษ ที่สามารถช่วยปลุกกำลังซื้อให้ตื่นขึ้นมาให้ได้ โดยเฉพาะการปลอดล็อคภาระต่างๆ ที่มีอยู่ ให้ลูกค้าตัดสินใจได้ง่ายที่สุด เร็วที่สุด สารพัดโปร เพื่อช่วยให้ลูกค้ามีบ้านได้ง่ายๆ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ จึงถูกนำมามาใช้แบบไม่มีต้องยั้งมือ เพื่อช่วยผู้ซื้อ แฃะช่วยตัวเองในการระบายสต๊อกบ้านพร้อมอยู่ให้ได้มากที่สุด ล่าสุด บริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลอปเม้นท์ เปิดแคมเปญใหม่ ซึ่งถือเป็นภาค 2 ต่อจากแคมเปญชายเติม ที่เพิ่งปิดจ๊อบไปเมื่อเดือนที่ผ่านมา

โอภาส ศรีพยัคฆ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทได้จัดโปรโมชั่น “ลุมพินี เติม เพิ่มให้” ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นการสานฝันคนอยากมีบ้าน และเป็นการกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์ให้มีสีสันมากขึ้น หลังจากที่ภาครัฐเองก็ให้ความสำคัญ เห็นได้จากมาตรการรัฐที่ออกมาเพื่อรองรับกลุ่มที่ต้องการบ้านเพื่ออยู่อาศัยจริง

สำหรับ “ลุมพินี เติม เพิ่มให้” จะมอบสิทธิพิเศษให้กับลูกค้าเมื่อซื้อคอนโด หรือบ้าน โดยที่บริษัทพร้อมเติมให้ทันที 3 ขั้น ยกตัวอย่าง เมื่อซื้อห้องชุดราคาขายที่ 1,840,000 บาท ขั้นแรก เติมเงินดาวน์ให้ทั้งจำนวน 10% เป็นเงิน 184,000 บาท คงเหลือเงินโอน 1,656,000 บาท ซึ่งธนาคารที่สนับสนุนจะเป็นผู้อนุมัติสินเชื่อให้ในส่วนที่เหลือ 90%

ขั้นที่สอง เติมค่าตกแต่งเฟอร์นิเจอร์ให้อีก 100,000 บาท พร้อมเครื่องปรับอากาศ  ขั้นสุดท้าย เติมค่าใช้จ่ายวันโอนกรรมสิทธิ์ “ทุกรายการ”  รวมแล้วบริษัทจะช่วยเติมให้สูงสุดถึง 700,000 บาท สำหรับคอนโดมิเนียมที่เริ่มแคมเปญมีราคาเริ่มต้นที่ 1,160,000 บาท เงินจอง 5,000 บาท กับ 7 ทำเลในเมือง ส่วนบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์ ราคาเริ่มที่ 1,800,000 บาท เงินจอง 10,000 บาท กับ 6 ทำเลพร้อมอยู่ สำหรับแคมเปญนี้เริ่มตั้งแต่วันนี้ – สิ้นเดือน มิ.ย.นี้


ขณะที่บิ๊กอสังหาฯ รายอื่นๆ ก็ส่งโปรทำนองเดียวกัน ออกมาปลุกความต้องการซื้อของผู้บริโภคด้วยเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น 
บริษัท แสนสิริ ได้ปล่อยโปรโมชั้น “เคลียร์ครบ จบพร้อมโอน”  ข้อเสนอพิเศษที่ทำให้ลูกค้ามีบ้านได้ง่ายขึ้น ด้วยการปกป้องจากทุกมาตรการรัฐและมอบโปรโมชั่นพิเศษแบบเน้นๆ เพื่อขจัดทุกอุปสรรคการซื้อและโอนบ้านที่เป็นเจ้าของได้ไม่ยาก อาทิ คอนโดใกล้รถไฟฟ้า ราคาเริ่มต้น 2.49 ล้านบาท และบ้านเดี่ยวราคาเริ่มต้นที่ 3.59 ล้านบาท และยังอัดฉีดเพิ่มด้วยส่วนลดสูงสุดกว่า 1.5 ล้านบาท  โดยทีมงานของแสนสิริจะเป็นที่ปรึกษาให้กับลูกค้าที่มีปัญหาเรื่องการซื้อบ้านแบบเคสบายเคส เริ่ม ตั้งแต่วันที่ 14 มิถุนายน-30 กันยายน 2562

บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน)  ส่งแคมเปญ “นาทีนี้ อนันดาฯ เท่านั้น” นำ 10 คอนโดคุณภาพใกล้รถไฟฟ้าพร้อมอยู่ในราคาเริ่มต้น 1.79 -5.99 ล้านบาท พร้อมข้อเสนอสุดพิเศษเกินห้ามใจ!! “กู้เต็ม 100% ผ่อน 0 บาท นาน 2 ปี ฟรี โอนฯ” ตั้งแต่วันนี้ - 19 กรกฎาคม 2562 ที่ Sales Gallery ทุกโครงการที่เข้าร่วมแคมเปญ

ขณะที่ บริษัท เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ได้เปิดตัวแคมเปญ “ให้อยู่ฟรีก่อนโอนฯ” โดยนำคอนโดพร้อมอยู่ 3 ทำเล ราคาเริ่มต้น 1.7 ล้านบาท ให้ลูกค้าที่เช่าห้องได้อยู่ฟรี 6 เดือน ก่อนโอน เพื่อลดภาระ และเพิ่มโอกาสให้กับลูกค้าที่เป็นเรียลดีมานด์

บริษัทจึงได้จัดกลยุทธ์นำร่อง เจาะกลุ่มลูกค้าเรียลดีมานด์ที่ต้องการที่อยู่อาศัย แต่ยังมีภาระหรือยังไม่พร้อมทางด้านสภาพคล่องทางการเงิน เช่น ลูกค้าที่อยู่ระหว่างการทดลองงาน หรือกลุ่มลูกค้าที่ต้องสร้าง Statement เพิ่ม ลูกค้าที่ติดเครดิตบูโรต้องใช้ระยะเวลาในเคลียร์หนี้บัตรต่างๆ เป็นต้น 

ทั้งนี้ บริษัทได้นำ 3 โครงการภายใต้แบรนด์ “นิช ไอดี” มาให้อยู่ฟรีก่อนโอนกรรมสิทธิ์ 6 เดือน ประกอบด้วย 1.โครงการ นิชไอดี เสรีไทย-วงแหวน ราคาเริ่ม 1.71 ล้านบาท 2.โครงการ นิช ไอดี เพชรเกษม-บางแค ราคาเริ่ม 1.7 ล้านบาท 3.โครงการ นิช ไอดี พระราม 2 – ดาวคะนอง ราคาเริ่ม 1.79 ล้านบาท โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายนถึงสิ้นเดือนธันวาคม 2562

เชื่อว่า โปรฯในลักษณะนี้จะยังมีออกมาเป็นระยะเพื่อปลุกความต้องการซื้อ เพราะยังมีสต๊อกบ้าน-คอนโดสร้างเสร็จพร้อมอยู่รอการระบายอีกจำนวนมาก หากผู้ประกอบการไม่เร่งรีบจัดการปัญหาอาจจะลุกลามบานปลายได้ในอนาคต
Share:

ส่องแนวคิดบ้านหรู 200 ล้าน มัลเบอร์รี่ โกรฟ กับการอยู่อาศัยแบบ Intergenneration



ส่องแนวคิดบ้านหรู 200 ล้าน แมกโนเลีย ส่งแบรนด์หรู มัลเบอร์รี่ โกรฟ เจาะตลาดซูเปอร์ลักชัวรี่ ปูพรม 3 โครงการ 19,900 ล้านบาท

มัลเบอร์รี่ โกรฟ ซูเปอร์ลักชัวรี่ เรสซิเดนซ์ แบรนด์ใหม่ล่าสุดของบริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น ตั้งราคาขายบ้านสุดหรูเอาไว้ในระดับ 100-200 ล้านบาท หรือถ้าเป็นคอนโดมิเนียมที่วางแผนเปิดตัวในช่วงไตรมาส 3 ที่ย่านเอกมัยก็ตั้งราคาไว้สูงลิ่ว 2-3 แสนบาทต่อตารางเมตร สำหรับห้องไซส์เล็กสุดขนาด 50 ตารางเมตร ราคาก็ต้องวิ่งอยู่ที่ 10-15 ล้านบาทเป็นอย่างต่ำ
เมื่อเป็นแบรนด์ระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ วิธีคิดก็ต้องไม่ธรรมดา เพราะมัลเบอร์รี่ โกรฟ เป็นปลายทางของงานวิจัยแนวโน้มการอยู่อาศัยระดับโลกมาอย่างต่อเนื่อง จนกลายมาเป็นแนวคิด Nurturing Intergenneration Happiness คือ การสานความสุขให้กับทุกเจเนอเรชั่น พร้อมกับการพัฒนาโครงการตามแนวคิดของ “For all wellbeing” ที่จะพัฒนาโครงการที่ดีกับทุกๆ คน
นายวิสิษฐ์ มาลัยศิริรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า ปัจจุบันครอบครัวสมัยใหม่มีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ เนื่องจากการแยกที่อยู่อาศัยออกมาจากครอบครัวใหญ่ โดยมาจากหลายปัจจัยของสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป ขณะที่บริษัทซึ่งให้ความสำคัญกับเรื่องของสภาพแวดล้อมทั้งภายในและภายนอก เพื่อสนับสนุนให้เกิดความสุขที่แท้จริงในชีวิต เห็นว่าความสุขของทุกเจเนอเรชั่นไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นเฉพาะโอกาสพิเศษ แต่ความสุขจากการอยู่ร่วมกันต้องเกิดขึ้นได้ทุกวัน
“แนวคิดดังกล่าวจึงเป็นที่มาของการพัฒนาแบรนด์ “มัลเบอร์รี่ โกรฟ” ขึ้นเพื่อให้เป็นมากกว่าที่พักอาศัย แต่เป็นพื้นที่เติมเต็มช่องว่างของคนในครอบครัวและการอยู่อาศัยแบบหลากหลายเจเนอเรชั่น เพื่อการสานความสัมพันธ์ และสร้างความสุขที่ยั่งยืนในชีวิตอย่างแท้จริง โดยหวังว่า “มัลเบอร์รี่ โกรฟ” จะช่วยให้เราได้กลับมามีความสุขกับคนในครอบครัว และสามารถสานความสุขให้คนในทุกเจเนอเรชั่นตามที่ได้ตั้งเป้าหมายไว้" นายวิสิษฐ์ กล่าว
3 ผู้บริหาร แมกโนเลีย จากซ้าย รุ่งโรจน์ จงศุจิพันธุ์ วิสิษฐ์ มาลัยศิริรัตน์ และ  ชาคริต หัสสรังสี
ด้านนายรุ่งโรจน์ จงศุจิพันธุ์ ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น กล่าวเพิ่มเติมว่า จากงานวิจัยทั้งในประเทศและต่างประเทศ มีผลยืนยันตรงกันว่า คนเราอยู่อาศัยร่วมกันน้อยลง มีปฏิสัมพันธ์กันน้อยลง จึงขาดการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ความสุขในชีวิตน้อยลง และนำไปสู่ปัญหาต่างๆ ทั้งในครอบครัวและสังคม
ทั้งนี้ จากผลสำรวจในด้านที่อยู่อาศัยของสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล เมื่อเดือนพฤษภาคม 2562 จากกลุ่มตัวอย่างทั่วประเทศ อายุตั้งแต่ 15-65 ปี รวม 400 คน พบว่า กลุ่มตัวอย่างถึง 70.8% ต้องการอยู่อาศัยในบ้านที่ประกอบด้วยสมาชิกหลายรุ่น โดยกลุ่มอายุ 40 ปีขึ้นไป ต้องการอยู่อาศัยหลายรุ่นสูงสุด คือ 80.7% นอกจากนี้ ยังพบว่า การอยู่อาศัยแบบครอบครัว 3 รุ่น ทำให้สมาชิกในครัวเรือนมีสุขภาพจิตที่ดีกว่าครัวเรือนรูปแบบอื่น

“จากการที่ได้ศึกษาและวิจัยในประเด็นดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่อง โดยร่วมมือกับศูนย์วิจัยและนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน (RISC) ทำให้บริษัทเห็นแนวโน้มนี้ที่ชัดเจน จึงเป็นที่มาของการพัฒนาที่อยู่อาศัยภายใต้แบรนด์ “มัลเบอร์รี่ โกรฟ” เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ปัญหาการอยู่อาศัยหลากหลายช่วงวัย สร้างความผูกพันของครอบครัวให้แน่นแฟ้น ซึ่งเป็นรากฐานแห่งความสุขที่แท้จริง” นายรุ่งโรจน์กล่าว

ในปี 2562 แบรนด์มัลเบอร์รี่ โกรฟ จะมีโครงการที่อยู่อาศัยแบบ มัลติ-แพลตฟอร์มที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น Cluster Villa และ Condominium แบบไฮไรส์และโลว์ไรส์ โดยจะเปิดโครงการใหม่  3  โครงการใน 2 ทำเล มูลค่าโครงการรวม 19,900 ล้านบาท และคาดว่าในปีหน้าจะมีการพัฒนาโครงการภายใต้แบรนด์ มัลเบอร์รี่ โกรฟ  เพิ่มอีก 2 โครงการ

สำหรับโครงการแรกจะเป็นโครงการ “มัลเบอร์รี่ โกรฟ สุขุมวิท” ตั้งอยู่ริมถนนสุขุมวิท ห่างจาก 250 เมตร จากรถไฟฟ้า BTS เอกมัย เป็นคอนโด High Rise สูง 37 ชั้น จำนวน 286  ยูนิต มูลค่าโครงการ 5,000-6,000 ล้านบาท ราคาขายอยู่ที่ประมาณ 2-3 แสนบาทต่อตารางเมตร โดยมีกำหนดเปิดตัวในช่วงไตรมาส 3 ของปีนี้
มัลเบอร์รี่ โกรฟ สุขุมวิท โครงการแรกจะเปิดตัวในไตรมาสที่ 3
ด้านนายชาคริต หัสสรังสี ผู้อำนวยการ โครงการมัลเบอร์รี่ โกรฟ บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น กล่าวเพิ่มเติมว่า ส่วนอีก 2 โครงการ จะอยู่ในโครงการเดอะ ฟอเรสเทียส์  ซึ่งเป็นโครงการพัฒนาที่ดินขนาดใหญ่เนื้อที่ 300 ไร่ ริมถนนบางนา-ตราด ช่วง กม.5-7 ของบริษัท โดย “มัลเบอร์รี โกรฟ เดอะ ฟอเรสเทียส์” จะเป็นส่วนหนึ่งที่ตั้งอยู่ภายในโครงการดังกล่าว แบ่งเป็น 2 ส่วน ได้แก่ โครงการบ้านเดี่ยว 1 โครงการ จำนวน 37 ยูนิต ยึดหลักแนวคิดการออกแบบ แบบ Cluster Design ที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์ของทุกช่วงวัย และอีก 1 โครงการจะเป็นคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ จำนวน 283 ยูนิต ทั้ง 2 โครงการคาดว่าจะเปิดตัวได้ในช่วงปลายปีนี้


Share:

บิ๊กอสังหาฯเปิดศึกรอบใหม่คอนโดเกาะสายสีน้ำเงิน



ตลาดคอนโดมิเนียมตามแนวรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ส่วนต่อขยายช่วงหัวลำโพง-บางแค และช่วงเตาปูน-ท่าพระ กลับมาคึกคักอีกระลอก โดยเฉพาะช่วงหัวลำโพง-บางแคที่มีคิวเปิดทดลองวิ่งในเดือนสิงหาคม และจะเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในเดือนกันยายน ส่วนช่วงเตาปูน-ท่าพระ ก็ไม่ต้องให้รอนาน เพราะมีคิวเปิดบริการประมาณเดือนมีนาคมปีหน้า

กิจกรรมการตลาดคอนโดแนวรถไฟฟ้าทั้ง 2 ช่วงจึงร้อนฉ่าขึ้นมาอีกครั้ง เพราะเชื่อว่า เมื่อรถไฟฟ้าเริ่มวิ่งจริงๆ จังๆ ดีมานด์ที่เคย wait and see อยู่จะกลับเข้าสู่ตลาดให้ได้แย่งชิงกันอีกยก และน่าจะเป็นโอกาสที่ดีของผู้ซื้อที่จะมี offer ใหม่ๆ จากคอนโดที่มีอยู่ในตลาด และคอนโดตัวใหม่ๆ ให้ได้เป็นตัวเลือกกันมากขึ้น แต่ก่อนอื่นเรามาตรวจตราดูสถานการณ์ของคอนโดริมทางรถไฟฟ้าสายสีนำเงินกันก่อน เพื่อให้ได้มองเห็นภาพตลาดทั้งหมด

สายสีน้ำเงินคอนโดเพื่อคนชั้นกลาง
นางสาวอัญชนา วัลลิภากร ผู้ร่วมก่อตั้ง และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บาเนีย (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทเทคโนโลยีที่พัฒนาเกี่ยวกับ Big Data ของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ในรูปแบบ Comprehensive Marketplace และ Data Platform รายแรกของประเทศไทย เปิดเผยว่า ศักยภาพและโอกาสการขยายตัวของเมืองในโซนฝั่งธนบุรีจะเริ่มเห็นภาพที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้นหลังจากรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยายช่วงหัวลำโพง-บางแค เปิดให้บริการโดยจะเป็นการเชื่อมต่อกับสู่ศูนย์กลางเศรษฐกิจ หรือ CBD เขตเมืองชั้นในบริเวณพระราม 4 ที่อนาคตจะเป็นสมาร์ทซิตี้ รวมถึงสีลม สาทร ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

จาก Big Data ของ Baania สามารถวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงด้านราคา 5 ปีย้อนหลังของโครงการคอนโดมิเนียมทั้งมือหนึ่งและมือสองรอบสถานีรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินช่วงหัวลำโพง-บางแค ทั้ง 11 สถานี ในระยะรัศมี 800 เมตร จะพบว่า ราคาคอนโดยังเกาะกลุ่มอยู่ในเซ็กเมนต์ 70,000-120,000 บาทต่อตารางเมตร หรือกลุ่ม Main Class  โดยมีราคาเฉลี่ยในปี 2557 อยู่ที่ 66,600 บาทต่อตารางเมตร จนถึงปี 2562 ขึ้นมาอยู่ที่ 84,478 บาทต่อตารางเมตร

หัวลำโพง-ท่าพระ ราคาทะลุแสน/ตร.ม.
สำหรับราคาเฉลี่ยของคอนโดตามสถานีที่มีโครงการเปิดขาย พบว่า สถานีหัวลำโพงมีคอนโดที่ราคาเฉลี่ยต่อพื้นที่ค่อนข้างสูงอยู่ที่ 1.74 แสนบาทต่อตารางเมตร  จัดอยู่ในกลุ่ม Luxury เนื่องจากคอนโดส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในทำเลที่ค่อนไปทางไข่แดงของเมือง และใกล้กับแหล่งท่องเที่ยวอย่างเยาวราชด้วย

นอกจากนี้ สถานีท่าพระ เป็นอีกสถานีหนึ่งที่ราคาคอนโดเฉลี่ยแตะระดับหลัก 101,100 บาทต่อตารางเมตร เนื่องจากเป็นสถานีร่วมของรถไฟฟ้าสีน้ำเงินส่วนต่อขยายช่วงหัวลำโพง-บางแค และเตาปูน-ท่าพระ จึงถือเป็นจุดศูนย์กลางคมนาคมอีกแห่งของย่านฝั่งธนบุรี


ขณะที่ สถานีบางไผ่เป็นพื้นที่ที่ราคาคอนโดเฉลี่ยต่ำที่สุด 5.7 หมื่นบาทต่อตารางเมตร  ส่วนในสถานีอื่นๆ มีราคาใกล้เคียงกัน และอยู่ในกลุ่มราคาที่นิยมมากที่สุดคือกลุ่มคอนโด Main Class ราคาต่อยูนิตมีค่อนข้างหลากหลาย มีตั้งแต่ 1 ล้านบาทกลางๆ ไปถึงราคาเกิน 3 ล้านบาท เป็นทางเลือกของกลุ่มคนทำงานระดับกลางรายได้ประมาณ 2.8 หมื่นบาท/เดือน ที่มีออฟฟิศอยู่ในเขตเมืองชั้นใน

5 สถานีฮอตผุดคอนโด1.29หมื่นยูนิต
ทั้งนี้จะเห็นว่า ทำเลหลักในการพัฒนาคอนโดมิเนียมตามแนวรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง-บางแค อยู่บนถนนเพชรเกษม โดยเฉพาะบางแค ถือเป็นศูนย์กลางชุมชนของย่าน และเป็นแหล่งอยู่อาศัย โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมที่ราคายังไม่แพงเกินไปนัก

สำหรับสถานีที่มีจำนวนคอนโดเปิดขายหนาแน่นที่สุดบนถนนเพชรเกษมคือ สถานีบางหว้า มีจำนวนทั้งสิ้น 3,719 หน่วย ขณะที่สถานีภาษีเจริญ มีจำนวนคอนโดหนาแน่นเป็นอันดับ 2 ที่ 2,498 หน่วย สถานีท่าพระเป็นอันดับ 3 มีจำนวน 2,453 หน่วย ส่วนสถานีเพชรเกษม 48 เป็นอันดับ 4 มีจำนวนคอนโด 2,294 หน่วย และสถานีบางไผ่เป็นอันดับ 5  มีจำนวน 1,936 หน่วย รวมกัน 5 สถานีมีคอนโดเปิดอยู่ 1.29 หมื่นยูนิตเลยทีเดียว

ทั้งนี้คาดว่า เมื่อรถไฟฟ้าเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการแล้วจะมีคอนโดเปิดใหม่เพิ่มขึ้นกว่านี้อีกมาก ขณะที่ราคาขายก็คาดว่าจะมีการปรับสูงขึ้นเช่นกัน

คอนโดใหม่จ่อคิว 2,500-3,000 ยูนิต
ด้านนายสุรเชษฐ กองชีพ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟีนิกซ์ พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลล็อปเม้นท์ แอนด์ คอนซัลแทนซี่ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า แม้ว่าตลาดคอนโดมิเนียมในพื้นที่ฝั่งธนบุรีจะเป็นตลาดที่มีกำลังซื้อไม่มากและราคาขายต่ำกว่าฝั่งพระนคร แต่ก็ยังเป็นพื้นที่ที่ผู้ประกอบการให้ความสนใจในการเข้ามาเปิดขายโครงการใหม่โดยในปี 2562 คาดว่าจะมีคอนโดเปิดใหม่อีกประมาณ 2,500-3,000 ยูนิต อยู่ตามแนวถนนเพชรเกษม

สำหรับพื้นที่ตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินทั้ง 2 ช่วง คือ หัวลำโพง-บางแค และเตาปูน-ท่าพระ เป็นพื้นที่ที่มีคอนโดมิเนียมเปิดขายสะสมมากที่สุดเมื่อเทียบกับพื้นที่ตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าที่กำลังก่อสร้างอื่นๆ โดยปัจจุบันมีคอนโดมิเนียมเปิดขายสะสมอยู่ประมาณ 48,384 ยูนิต เฉพาะช่วงหัวลำโพง-บางแค มีคอนโดเปิดอยู่ประมาณ 19,739 ยูนิต หรือประมาณ 38.7%
อุปทานคอนโดมิเนียมตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินแยกตามถนนเส้นทางสำคัญ
ขณะที่ พื้นที่ตามแนวถนนเพชรเกษมเป็นพื้นที่ของเส้นทางช่วงหัวลำโพง-บางแคที่มีคอนโดเปิดขายมากที่สุด 18,640 ยูนิต หรือประมาณ 94% เนื่องจากพื้นที่อื่นๆ ตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินช่วงหัวลำโพง-บางแค มีพื้นที่ค่อนข้างจำกัดในการพัฒนาโครงการ ขณะที่อัตราการขายเฉลี่ยอยู่ที่กว่า 90% แต่ยังคงมีคอนโดเหลือขายอยู่ไม่น้อย

บิ๊กอสังหาฯพร้อมลุยโครงการใหม่
แม้จะไม่ใช่ตลาดที่ร้อนแรงเหมือนคอนโดใจกลางเมือง แต่คอนโดแนวรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินก็เป็นตลาดที่ผู้ประกอบการรายใหญ่ไม่พลาดที่จะมาเปิดโครงการใหม่ๆ เพื่อขอแชร์ส่วนแบ่งตลาด ล่าสุด แสนสิริ ได้เปิดตัวโครงการใหม่ภายใต้แบรนด์ ดีคอนโด ธาร จรัญฯ บนถนนจรัญสนิทวงศ์ ห่างจากสถานีบางขุนนนท์ 1.9 กิโลเมตร หลังจากที่เคยเปิดโครงการในทำเลนี้มาแล้วถึง 3 โครงการ ได้แก่ ดีคอนโด จรัญฯ-บางขุนนนท์, ดีบุรา พรานนก และดีคอนโด แคมปัส รีสอร์ท ราชพฤกษ์-จรัญฯ 13

คอนโดจรัญสนิทวงศ์
ดีคอนโด ธาร จรัญฯ
 นายสมเกียรติ หงษ์ทรัพย์ภิญโญ รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายพัฒนาโครงการแนวราบ บริษัท แสนสิริ กล่าวว่า โครงการดีคอนโด ธาร จรัญฯ มีเนื้อที่ประมาณ 4 ไร่ เป็นคอนโดมิเนียมสูง 8 ชั้น 2 อาคาร รูปแบบห้องสตูดิโอ พื้นที่ใช้สอย 26.52 ตารางเมตร และห้องแบบ 2 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอย 54 ตารางเมตร รวม 484 ยูนิต มูลค่าโครงการรวม 1,000 ล้านบาท ราคาขายเริ่มต้น 1.89 ล้านบาท ผ่อน 3,999 บาท/เดือน

จุดเด่นของโครงการตั้งอยู่ใกล้สถานีบางขุนนนท์ ซึ่งในอนาคตจะเป็นสถานีร่วม หรือเป็นจุดเชื่อมต่อของรถไฟฟ้า 3 สาย ได้แก่ สายสีน้ำเงิน สายสีส้ม และสายสีแดง และยังใกล้ทางด่วนศรีรัช ส่งผลให้ศักยภาพของทำเลมีการขยายตัว โดยในช่วงที่ผ่านมามีความต้องการจากกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ต้องการขยายที่อยู่อาศัยจากครอบครัวเดิมเป็นคอนโดใกล้แนวรถไฟฟ้า แต่ยังคงต้องการอาศัยอยู่ใกล้กับที่อยู่อาศัยเดิม บริษัทจึงเปิดโครงการรองรับคอนกลุ่มนี้

นอกจากแสนสิริแล้ว บริษัท ศุภาลัย ก็เตรียมจะเปิดคอนโดใหม่ แบรนด์ศุภาลัย ปาร์ค เนื้อที่ 6 ไร่เศษ บริเวณซอยจรัญฯ 28/2 ห่างจากสถานีแยกไฟฉาย 330 เมตร เป็นคอนโดสูง 22 ชั้น  2 อาคาร จำนวนห้องพักอาศัย 726 ยูนิต เป็นห้อง Studio-2 ห้องนอน ขนาด 29.5-74.5 ตร.ม.ในราคาเริ่มต้น 2.03 ล้านบาท ขณะที่ เนอวานา ได้เปิดตัวคอนโด  The Most อิสระภาพ ในราคาเริ่มต้น 2.39 ล้านบาท เช่นเดียวกับบริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่นที่มีแผนจะเปิดคอนโดติดกับสถานีหัวลำโพง  ด้านบริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลอปเม้นท์ ก็มีแผนเปิดตัวคอนโดใหม่ภายใต้แบรนด์ลุมพินี ที่บริเวณสถานีเตาปูน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งทำเลสำคัญบนเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินช่วงเตาปูน-ท่าพระ
คอนโดจรัญสนิทวงศ์
ศุภาลัย ปาร์ค สถานีแยกไฟฉาย
ที่ผ่านมา บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท ก็ถือว่ามีโครงการอยู่ในทำเลนี้หลายโครงการ ล่าสุดได้เปิดเพิ่มอีก 1 โครงการ ภายใต้แบรนด์ เดอะทรี จรัญ-บางพลัด  และยังมีบริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ ที่เตรียมพัฒนาโครงการใหม่ ย่านจรัญสนิทวงศ์ 70/2 ภายใต้แบรนด์ Ideo Bang Plat ในช่วงครึ่งปีหลัง และยังมี บริษัท แกรนด์ ยูนิตี้ ดิเวลล็อปเมนท์ ที่จะเตรียมพัฒนาคอนโดแบรนด์ Ciela ที่จรัญ 13 อีก 1 โครงการ

ดูแต่ละโครงการก็ล้วนแล้วแต่บิ๊กเนิมกันทั้งนั้น จึงพอประเมินสถานการณ์ได้ว่า เมื่อรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินเปิดให้บริการทั้ง 2 ช่วง ตลาดคอนโดในย่านฝั่งธนบุรีทั้งเส้นจรัญสนิทวงศ์ และเพชรเกษม จะร้อนแรงจนไฟลุกแน่นอนครับ



Share:

ดวง-ธุรกิจ วันจันทร์ที่ 24-วันอาทิตย์ที่ 30 มิถุนายน 2562


ดวงธุรกิจ
โดย...ภัทร์มนต์  ศักดิ์ชุศรณ์
lux_payagon@hotmail.com

ฤกษ์ดีประจำสัปดาห์
  • วันอังคารที่ 25 มิถุนายน 2562 เวลา 09.29-12.19 น.เหมาะเดินเรื่องซื้อ-ขายอสังหาริมทรัพย์/ขอกู้ยืม/ขอความช่วยเหลือ/เปิดกิจการเครื่องเขียน  
  • วันพุธที่ 26 มิถุนายน 2562 เวลา 07.29-12.49 น. เหมาะทำบุญเสริมดวง/ขึ้นบ้านใหม่/เจิมยานพาหนะ เจรจาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ และเวลา 09.49-14.49/16.09-18.49 น. เหมาะซื้อยานพาหนะ ออกสื่อโฆษณาสินค้า เปิดกิจการเสริมสวย ธุรกิจเคมีภัณฑ์
  • วันพฤหัสบดีที่ 27 มิถุนายน 2562 เวลา 07.29-12.49 น. เหมาะทำบุญเสริมดวง/ขึ้นบ้านใหม่/เจิมยานพาหนะ เจรจาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์
  • วันเสาร์ที่ 29 มิถุนายน 2562 เวลา 07.29-12.49 น. เหมาะเข้าพบผู้ใหญ่เพื่อขอคำแนะนำ ซื้อยานพาหนะ เปิดร้านเสริมสวย ร้านอาหารตามสั่ง เปิดร้านกาแฟสด
ท่านที่เกิดวันอาทิตย์
เกณฑ์ชะตาในรอบสัปดาห์นี้เป็นช่วงที่คุณต้องระวังเรื่องความคิดให้มาก ปัญหาเล็กๆ ที่เข้ามาหากไม่ไตร่ตรองให้ดีจะทำให้เกิดการกระทบกระทั่งกับคนใกล้ตัว  การงานมีความก้าวหน้าผู้ใหญ่เห็นผลงาน  และยังมีช่องทางหารายได้พิเศษ การลงทุนต่างๆ ช่วงนี้ได้ผลดี  ความรักราบรื่นแม้จะมีเรื่องหึงหวงเล็กๆน้อยๆ การเงินต้องระวังการถูกเอาเปรียบ และไม่ควรให้ใครหยิบยืม หรือหลวมตัวไปค้ำประกันใคร  การติดต่อขอเครดิตขอสินเชื่อแม้จะได้ผลดีแต่ก็มีความล่าช้า สุขภาพระวังการอักเสบของกล้ามเนื้อ

ท่านที่เกิดวันจันทร์    
เกณฑ์ชะตาในรอบสัปดาห์นี้เป็นช่วงที่ดีสำหรับคุณ ปัญหาที่มีก่อนหน้านี้เริ่มคลี่คลายและได้รับการช่วยเหลือจากคนรอบข้างรอบตัว สำหรับการงานมีเกณฑ์ได้รับมอบหมายให้ทำงานตัวใหม่ที่ท้าทาย และหากคุณกำลังคิดจะลงทุนต้องรอไปสักเดือนหน้าจึงดี  การติดต่อประสานงานต้องสร้างมิตรภาพกับผู้น้อยจะทำให้สิ่งต่างๆ คล่องตัวประสบความสำเร็จเร็วขึ้น  การเงินดีไม่ว่าจะเป็นการขอเครดิตหรือเจรจาขอผ่อนผัน รวมถึงได้ข่าวดีในเรื่องเงินๆ ทองๆ ความรักระวังจะมีการปะทะคารมเพราะเรื่องคนอื่น สุขภาพแข็งแรง

ท่านที่เกิดวันอังคาร
เกณฑ์ชะตาในรอบสัปดาห์นี้แม้จะดูไม่มีอะไรแต่ตัวคุณเองกลับทำให้ชีวิตวุ่นวาย การวางโครงการต่างๆของคุณไม่ว่าจะเป็นการท่องเที่ยวหรือการซื้อข้าวของทำให้หัวหมุนพอสมควร   ด้านหน้าที่การงานค่อนข้างดีและมักจะมีโอกาสดีๆ เข้ามาให้เลือกให้ตัดสินใจ รวมถึงการมองหางานตัวใหม่ หรือการได้รับทาบทามให้ทำงานตัวใหม่ การเงินคล่องมือเหมาะติดตามหนี้สินเก่าๆ  การขอสินเชื่อต้องหลังวันที่ 27 มิถุนาฯไปก่อน ความรักไม่ค่อยจะราบรื่นนักมีความเห็นต่างทำให้มักมีการปะทะคารมอยู่ตลอดสัปดาห์  สุขภาพระวังโรคประจำตัวกำเริบ

ท่านที่เกิดวันพุธ  
เกณฑ์ชะตาในรอบสัปดาห์นี้ค่อนข้างสบายๆ ไม่ค่อยมีอะไรให้เครียดมากนัก คุณจะได้รับการใส่ใจการตอบรับจากคนรอบข้างมากขึ้น สิ่งต่างๆ ที่กังวลเริ่มผ่อนคลาย สำหรับเรื่องหน้าที่การงานคงจะต้องระวังเกี่ยวกับการให้ข้อมูลต่างๆ และการลงนามอนุมัติในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเงิน ต้องมีการตรวจให้ละเอียดเพื่อกันความผิดพลาด ในการติดต่อประสานงานเจอคนมีชั้นเชิงต้องระวังการเสียเปรียบให้มาก  ความรักราบรื่นมีโชคจากเพศตรงข้าม การเงินหมุนคล่องมือ สุขภาพระวังไข้หวัด/ภูมิแพ้

ท่านที่เกิดวันพฤหัสบดี     
เกณฑ์ชะตาในรอบสัปดาห์นี้เป็นช่วงที่ดีเหมาะกับการเริ่มต้นในสิ่งต่างๆ มีการพบปะกับญาติพี่น้องหรือคนหมู่มากจะนำช่องทางการทำมาหากินมาให้  ด้านการงานได้อยู่ใกล้ชิดกับผู้ใหญ่ทำให้ต้องเหน็ดเหนื่อยมากกว่าเก่าและมีเรื่องให้วุ่นวายกับผู้คนมากหน้าหลายตา แต่ก็เป็นโอกาสดีที่จะได้พัฒนาตัวเอง หากมีการสัมมนาการอบรมต่างๆ คุณไม่ควรหลีกเลี่ยงเพราะจะเป็นช่องทางดีๆ ในความก้าวหน้าต่อไป  ความรักสดใส การเงินคล่องมือและเหมาะกับการมองทรัพย์สิน หรือมีโอกาสที่จะได้เงินจากการเป็นนายหน้าค้าขายอสังหาฯ สุขภาพระวังอุบัติเหตุเพราะความประมาทของผู้อื่นอาจทำให้คุณเจ็บตัวได้

ท่านที่เกิดวันศุกร์     
เกณฑ์ชะตาในรอบสัปดาห์นี้เป้าหมายต่างๆ ที่วางโครงการไว้เริ่มเป็นรูปเป็นร่างให้ได้เริ่มต้นเสียทีหลังจากจับๆ จ้องๆ อยู่พอสมควร  ในด้านการงานได้รับการตอบรับดีจากเพื่อนร่วมงานและผู้ใหญ่ และเหมาะนำเสนอโปรเจ็กต์ต่างๆ ท่านที่เกิดวันนี้เหมาะกับการลงทุนในกิจการเล็กๆ หรือการเก็งกำไรในตัวหุ้นแต่ก็ได้ในระยะสั้นๆ เท่านั้น มีเกณฑ์เสียเงินเพราะความใจกว้างของคุณ ความรักสดใส และมีโอกาสได้พบคนถูกใจจากการแนะนำของเพื่อนฝูง สุขภาพแข็งแรง

ท่านที่เกิดวันเสาร์   
เกณฑ์ชะตาในรอบสัปดาห์นี้จะมีสิ่งดีๆ เข้ามาให้คุณได้เลือกได้ตัดสินใจมีการท่องเที่ยวและได้รับของฝากของกำนัล สิ่งที่รอจะได้รับในเร็ววัน  ด้านการงาน ระวังนโยบายที่ไม่แน่นอนทำให้คุณต้องเสียเวลาปรับเปลี่ยนแก้ไขในตัวงานแต่ท้ายสุดก็สำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้  สัปดาห์นี้ไม่เหมาะกับการเริ่มต้นงานใหม่ควรเร่งสะสางงานเก่าให้เรียบร้อย หากมีการติดต่อประสานงานควรไปก่อนเวลาให้มากสักหน่อยอาจทำให้คุณได้พบแนวทางงานใหม่และได้โอกาสดีๆ อย่างไม่คาดคิด การเงินคล่องมือแต่ไม่เหมาะเสี่ยงโชค สุขภาพระวังเกี่ยวกับโรคติดต่อต่างๆ เช่นไข้หวัดหรือไข้เลือดออก



Share:

รัฐ-เอกชนลงขัน 1.5 หมื่นล้าน พลิกโฉมพระราม 4 สู่ สมาร์ทซิตี้



ผศ.ดร. นพนันท์ ตาปนานนท์ ผู้ประสานงานโครงการ พระราม 4 สมาร์ท ซิตี้ เปิดเผยว่า จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ร่วมกับผู้ประกอบธุรกิจในบนถนนพระราม 4 มีแนวคิดจะพัฒนาย่านพระราม 4 ให้เป็น สมาร์ท ซิตี้ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการร่างโครงการเสนอต่อ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ depa เพื่อขอส่งเสริมการลงทุน

ทั้งนี้จุฬาฯจะระดมบุคลากรที่เกี่ยวข้องมาร่วมกันสร้างนวัตกรรมสำหรับการเป็นสมาร์ท ซิตี้ ทั้ง 7 ด้าน ได้แก่ 1. Smart Mobility การสัญจรอัจฉริยะ 2. Smart Community ชุมชนอัจฉริยะ 3. Smart Economy เศรษฐกิจอัจฉริยะ 4. Smart Environment สิ่งแวดล้อมอัจฉริยะ 5. Smart Governance การปกครองอัจฉริยะ 6. Smart Building อาคารอัจฉริยะ 7. Smart Energy พลังงานอัจฉริยะ โดยมีโครงการต่างๆ ในพื้นที่เข้ามาร่วมกันดำเนินการ คาดว่าจะต้องใช้เงินลงทุนทั้งหมด 15,000 ล้านบาท

สำหรับเอกชนที่เข้าร่วมโครงการจะเป็นผู้พัฒนาโครงการในพื้นที่ เช่น ทีซีซี กรุ๊ป ผู้พัฒนาโครงการ วัน แบงค็อค โครงการเดอะ ปาร์ค โครงการสามย่านมิตร ทาวน์  โครงการ ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค ของกลุ่ม เซ็นทรัลพัฒนา และกลุ่มดุสิตธานี เป็นต้น

ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ กรมธนารักษ์ กรุงเทพมหานคร การรถไฟแห่งประเทศไทย การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย การท่าเรือแห่งประเทศไทย เป็นต้น รวมถึงตัวแทนภาคประชาชนในพื้นที่ วางแผนพัฒนาพื้นที่ 2 ฝั่งถนนพระราม 4 ร่วมกัน เพื่อปรับภูมิทัศน์ ยกระดับ ถนนพระราม 4 ให้เป็นถนนในระดับสากล โครงการพระราม 4 สมาร์ท ซิตี้ จึงเป็นการต่อยอดยกระดับเมืองขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง


สำหรับแนวทางการพัฒนาพื้นที่ 2 ฝั่งถนนพระรามที่ 4 ตั้งแต่แยกหัวลำโพงถึงแยกคลองเตย เพื่อให้สอดคล้องกับศักยภาพ จากการเข้าถึงโดยรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน และการสัญจรเสริมต่าง ๆ ได้แก่ทางจักรยาน ทางเท้า เป็นต้น ที่จะมีขึ้นต่อไปตามรูปแบบการพัฒนาบริเวณเปลี่ยนถ่ายการสัญจร (Transit Oriented Development :TOD)

ประกอบกับ การก้าวเข้าสู่การเป็นสังคมสมัยใหม่ตามแบบวิถีชีวิตเมือง (Urban Life Style) โดยการเชื่อมต่อกลุ่มการพัฒนาบริเวณแยกสามย่าน แยกศาลาแดง และแยกวิทยุ เพื่อให้มีความสามารถในการแข่งขันที่เท่าเทียมกับการพัฒนาบริเวณแยกปทุมวันและแยกราชประสงค์บนถนนพระรามที่ 1 โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาบริเวณแยกหัวลำโพงและแยกคลองเตย ซึ่งเป็นพื้นที่เชื่อมต่อกับเขตกรุงเทพฯชั้นในและเขตกรุงเทพฯ ชั้นนอก ตามลำดับ

ทั้งนี้ ได้กำหนดพื้นที่การพัฒนาออกเป็น 5 จุด ประกอบด้วย

1.แยกหัวลำโพง มีสถานีกรุงเทพเป็นอาคารทางประวัติศาสตร์ที่มีความงดงามในด้านสถาปัตยกรรม และจะมีบทบาทหน้าที่ในการเป็นจุดเปลี่ยนถ่ายการสัญจรระหว่างรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน (บางซื่อ-บางแค) และรถไฟฟ้าสายสีแดง (รังสิต-หัวลำโพง- มหาชัย) จึงอาจพัฒนาให้เป็นพื้นที่ย่านธุรกิจการค้าและการบริการด้านการท่องเที่ยวที่สำคัญของกรุงเทพมหานคร เนื่องจากมีที่ตั้งอยู่ ณ จุดเข้าออกที่สำคัญของกรุงรัตนโกสินทร์ อีกทั้งยังสามารถเชื่อมต่อการเดินทางโดยรถไฟไปยังทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ การพัฒนาบริเวณแยกหัวลำโพงจะหมายรวมถึงการฟื้นฟูย่านการค้าเดิมในบริเวณพื้นที่โดยรอบ และการปรับปรุงภูมิทัศน์บริเวณสองฝั่งคลองผดุงกรุงเกษมให้มีความงดงาม

2.แยกสามย่าน มีพื้นที่ทางทิศเหนือเป็นที่ดินของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และทิศใต้เป็นที่ดินของเอกชน อาจพัฒนาให้เป็นย่านพาณิชยกรรมโดยการเชื่อมต่ออาคารสามย่านมิตรทาวน์กับอาคารจามจุรี สแควร์ ทั้งโดยทางเดินยกระดับและทางเดินใต้ดินที่เชื่อมต่อกับทางเข้าออกของสถานีสามย่าน ประกอบกับการพัฒนาและฟื้นฟูย่านการค้าสะพานเหลือง เพื่อให้เป็นทางเข้าออกหลักของโครงการเมืองจุฬาฯอัจฉริยะ (Chula Smart City) ที่จะดำเนินการโดยสำนักงานจัดการทรัพย์สินแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยต่อไป

นอกจากนี้ การพัฒนาบริเวณแยกสามย่านยังควรให้ความสำคัญกับการปรับปรุงภูมิทัศน์บริเวณศาสนสถาน ซึ่งได้แก่ วัดหัวลำโพง คริสตจักรสามย่าน และคริสตจักรสะพานเหลือง ตลอดจนชุมชนต่างๆ ที่ตั้งอยู่โดยรอบ

3. แยกศาลาแดง มีพื้นที่ทางทิศเหนือเป็นสถานเสาวภา โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ และสวนลุมพินี และทิศใต้เป็นที่ดินของเอกชน อาจพัฒนาให้ทางเข้าออกหลักของย่านธุรกิจและพาณิชยกรรมถนนสีลม ทั้งนี้บริเวณพื้นที่ดังกล่าวเป็นจุดเปลี่ยนถ่ายการสัญจรระหว่างสถานีสีลมของรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินกับสถานีศาลาแดงของรถไฟฟ้าสายสีเขียว จึงอาจดำเนินการให้เป็นไปตามรูปแบบการพัฒนาบริเวณเปลี่ยนถ่ายการสัญจร โดยการสร้างทางเดินยกระดับและทางเดินใต้ดินเพื่อเชื่อมต่ออาคารต่างๆ ที่ตั้งอยู่ในบริเวณโดยรอบกับการเข้าออกของสถานีรถไฟฟ้าทั้ง 2 สาย

นอกจากนี้ ยังควรดำเนินการปรับปรุงภูมิทัศน์เพื่อให้เห็นถึงคุณค่าความงดงามทางสถาปัตยกรรมของอาคารที่ตั้งอยู่ในสถานเสาวภาและโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ และปรับปรุงภูมิทัศน์ของสวนลุมพินี และบริเวณพื้นที่โดยรอบเพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์อย่างกว้างขวางยิ่งขึ้น

4. แยกวิทยุ มีที่ดินทางทิศเหนือเป็นสวนลุมพินีและที่ดินของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ และทางทิศใต้เป็นที่ดินของเอกชน อาจพัฒนาให้ทางเข้าออกหลักของย่านธุรกิจถนนสาทร และการพัฒนาให้เป็นจุดเปลี่ยนถ่ายการสัญจรโดยการสร้างทางเดินยกระดับและทางเดินใต้ดินเพื่อเชื่อมต่ออาคารต่างๆ ที่ตั้งอยู่ในบริเวณโดยรอบกับการเข้าออกของสถานีรถไฟฟ้าสายสีน ้าเงินและสถานีรถไฟฟ้าสายสีฟ้าที่จะสร้างขึ้นต่อไปในอนาคต

นอกจากนี้ ยังควรพิจารณาถึงการเชื่อมต่อถนนสายย่อยต่างๆ เข้ากับถนนโครงการตามผังเมืองรวมกรุงเทพมหานครทีเชื่อมต่อจากแยกถนนวิทยุ-สารสินไปยังถนนรัชดาภิเษก ประกอบกับ การพัฒนาพื้นที่โล่งสาธารณะ และถนนคนเดิน (Pedestrian Mall) การปรับปรุงภูมิทัศน์ของสวนลุมพินี เพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์อย่างกว้างขวาง ตลอดจนการปรับเปลี่ยนรูปด้าน (facade) ของอาคารที่อยู่อาศัยของการเคหะแห่งชาติ และการปรับปรุงสภาพแวดล้อมของชุมชน

5.แยกคลองเตย มีที่ดินทางทิศเหนือเป็นโรงงานยาสูบ (เดิม) ต่อเนื่องกับศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ สวนเบญจกิติ และที่ดินของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ที่กำลังมีการก่อสร้างอาคารพาณิชย์และสำนักงาน ส่วทางทิศใต้เป็นที่ดินของการไฟฟ้านครหลวง และของการท่าเรือแห่งประเทศไทย ซึ่งในปัจจุบันมีการใช้ประโยชน์เป็นตลาดสดขนาดใหญ่ อาคารพาณิชย์พักอาศัย และอาคารสำนักงาน ต่อเนื่องกับท่าเรือกรุงเทพซึ่งจะมีแผนจะพัฒนาเป็นย่านธุรกิจพาณิชยกรรมริมแม่น้ำเจ้าพระยา (Riverfront Development) ต่อไปในอนาคต

การพัฒนาบริเวณดังกล่าวนี้จึงควรส่งเสริมให้เป็นย่านการประชุมและนิทรรศการ (Meetings, Incentives, Conventions, and Exhibitions หรือ MICE) ขนาดใหญ่ในเขตชั้นในของกรุงเทพมหานคร และเป็นทางเข้าออกหลักของย่านธุรกิจพาณิชยกรรมริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่จะพัฒนาขึ้นต่อไป ทั้งนี้ควรดำเนินการปรับปรุงย่านพาณิชยกรรมเดิมและตลาดคลองเตยให้มีความทันสมัย และปรับปรุงภูมิทัศน์คลองถนนตรงและทางรถไฟสายปากน้ำ เพื่อสื่อถึงเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่เคยมีมาแต่อดีต

แน่นอนว่า การยกระดับย่านพระราม 4 ไปสู่การเป็นสมาร์ท ซิตี้ อย่างสมบูรณ์แบบแห่งแรกของไทย จะยิ่งทำให้ทำเลถนนพระราม 4 กลายเป็นทำเลทองและมีบทบาทสำคัญต่อมหานครกรุงเทพฯในอนาคตอันใกล้นี้


Share:

Real Society 18/6/62


แสนสิริจัดโปรโมชั่น “เคลียร์ครบ จบพร้อมโอน” ข้อเสนอพิเศษที่ทำให้คุณมีบ้านได้ง่ายขึ้นตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าซื้ออยู่เองที่ยังเติบโต จัดเต็มการปกป้องจากทุกมาตรการรัฐและมอบโปรโมชั่นพิเศษแบบเน้นๆ ขจัดทุกอุปสรรคการซื้อและโอนบ้าน พร้อมราคาเบาๆ ด้วยคอนโดใกล้รถไฟฟ้าราคาเริ่มต้น 2.49 ล้านบาท ทาวน์เฮาส์ เริ่มต้น 1.99 และบ้านเดี่ยวราคาเริ่มต้นที่ 3.59 ล้านบาท พร้อมด้วยส่วนลดสูงสุดกว่า 1.5 ล้านบาท โดยแสนสิริจะเป็นที่ปรึกษาให้กับลูกค้าที่มีปัญหาเรื่องการซื้อบ้านของลูกค้าแต่ละเคสเริ่ม 14 มิถุนายน-30 กันยายน 2562
บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน)  ส่งแคมเปญ “นาทีนี้ อนันดาฯ เท่านั้น” นำ 10 คอนโดคุณภาพใกล้รถไฟฟ้าพร้อมอยู่ในราคาเริ่มต้น 1.79 -5.99 ล้านบาท พร้อมข้อเสนอสุดพิเศษเกินห้ามใจ!! “กู้เต็ม 100% ผ่อน 0 บาท นาน 2 ปี ฟรี โอนฯ” ตั้งแต่วันนี้ - 19 กรกฎาคม 2562 ที่ Sales Gallery ทุกโครงการที่เข้าร่วมแคมเปญ


ธนาคารอาคารสงเคราะห์ กรมธนารักษ์ และธนาคารออมสิน ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงสินเชื่อโครงการ “บ้านคนไทยประชารัฐ” บนที่ดินราชพัสดุ เพื่อสนับสนุนนโยบายภาครัฐที่ต้องการให้คนไทยมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองโดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อย เตรียมสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำแบ่งเป็นสินเชื่อเพื่อพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย (Pre Finance) อัตราดอกเบี้ยผ่อนปรน ปีที่ 1 - 3 เท่ากับ 3.00% ต่อปี ให้กู้เพื่อพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยตามเงื่อนไขของโครงการบ้านคนไทยประชารัฐ และ สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (Post Finance) อัตราดอกเบี้ยผ่อนปรน ปีที่ 1-4 เท่ากับ 2.75 % ต่อปี ให้กู้เพื่อที่อยู่อาศัยบนที่ดินราชพัสดุภายใต้โครงการ “บ้านคนไทยประชารัฐ” ในระดับราคา 350,000-700,000 บาท/หน่วย ผ่อนชำระได้นานสูงสุด 30 ปี พร้อมผ่อนปรนการกำหนดอัตราส่วนการชำระหนี้ต่อรายได้ต่อเดือน (DSR)


นิยต มาศะวิสุทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (บสส.) หรือ SAM เปิดเผยว่า SAM ได้จัดประมูลทรัพย์สิน NPA ครั้งที่ 4 ของปี 2562 เมื่อวันที่ 7 มิถุนายนที่ผ่านมา มีนักลงทุนให้ความสนใจเข้าร่วมประมูลทรัพย์หลายรายการ ทำให้ได้ยอดประมูลมูลค่ารวม 70 ล้านบาท สำหรับการจัดงานประมูลครั้งต่อไปจัดในวันศุกร์ที่ 19 กรกฎาคม 2562 ที่โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว กรุงเทพฯ โดย SAM เตรียมคัดอสังหาฯ มือสองทำเลดีทั้งในกรุงเทพฯ และตจว.ร่วมประมูลหลายรายการ ผู้สนใจเข้ายื่นซองประมูล สามารถลงทะเบียนล่วงหน้าได้ตั้งแต่วันที่ 19 มิถุนายน ถึงวันที่ 18 กรกฎาคม 2562 สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ Call Center  02-686-1888 หรือดูรายละเอียดทรัพย์สินได้ที่เว็บไซต์  www.sam.or.th

ดร.ต่อศักดิ์ เลิศศรีสกุลรัตน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อีสเทอร์น สตาร์ เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) ได้มือดีด้านงานขายอย่าง “อ๊บ-สมสกุล หลิมศุทธพรรณ” รองกรรมการผู้จัดการ สายงานบริหารสินทรัพย์ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ที่เพิ่งเซ็นสัญญาแต่งตั้งให้เป็นตัวแทนขายโครงการควินทารา อาเท่ สุขุมวิท 52 ไปหมาดๆ ก็สร้างยอดขายผ่าน "ESTAR Online Booking” ได้อย่างประทับใจ ด้วยยอดพรีเซลกว่า 80% ของยูนิตที่เปิดขาย ในเวลาเพียงไม่ถึง 6 ชั่วโมง!!!!   สำหรับผู้ที่สนใจต้องไม่พลาดในงาน VIP Day วันที่ 29-30 มิถุนายนนี้ ที่สำนักงานขายสุขุมวิท 50   พร้อมโปรโมชั่นสุดพิเศษในงานนี้เท่านั้น สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร 02-688-7555 หรือ www.plussoleagent.com



Share:

ดวง-ธุรกิจ วันจันทร์ที่ 17-วันอาทิตย์ที่ 23 มิถุนายน 2562


โดย...ภัทร์มนต์  ศักดิ์ชุศรณ์
lux_payagon@hotmail.com

ฤกษ์ดีประจำสัปดาห์ 
  • วันจันทร์ที่ 17 มิถุนายน 2562  เวลา 06.09-12.59 น. เหมาะขอวีซ่า ขอความช่วยเหลือ ติดต่อขอสินเชื่อ
  • วันอังคารที่ 18 มิถุนายน 2562  เวลา  07.49-16.59 น. เหมาะวิ่งเต้นขอตำแหน่ง เดินทางพบลูกค้า จัดโปรโมชั่น
  • วันพุธที่ 19 มิถุนายน 2562  09.09-12.29 และ 15.49-18.59 น. เหมาะขอความช่วยเหลือ ปรับความเข้าใจ นำเสนอโครงการกับผู้ใหญ่ เจรจาขอผ่อนผัน
  • วันศุกร์ที่ 21 มิถุนายน 2562  เวลา 09.49-16.29 น. เหมาะซื้อขายไถ่ถอนหลักทรัพย์ ทำพินัยกรรม  สมัครงานใหม่ ออกระเบียบสังคม  ติดต่อเจรจาธุรกิจกับต่างประเทศ
  • วันเสาร์ที่ 22 มิถุนายน 2562  เวลา 11.29-18.49 น. เหมาะขึ้นบ้านใหม่ ขอกู้ยืม ขอผัดผ่อน ทำบุญเสริมดวง  ขอความช่วยเหลือจากผู้ใหญ่
ท่านที่เกิดวันอาทิตย์
เป็นสัปดาห์ที่คุณต้องเข้าไปข้องเกี่ยวกับคนรอบข้างรอบตัว ในด้านหน้าที่การงานคุณจะมีโอกาสเข้าไปได้ใกล้ชิดกับผู้ใหญ่ได้รับโอกาสดีๆ ได้รับความร่วมมือจากคนรอบข้าง สัปดาห์นี้เหมาะสมัครงานใหม่ๆหรือหางานพิเศษเพิ่ม การลงทุนในกิจการต่างๆ ควรมีความรอบคอบและมองการตลาดให้ชัดเจน การเงินราบรื่นเหมาะทวงหนี้เก่า หรือลงทุนกับสถานบันการเงิน ระวังอย่าเข้าไปเป็นตัวกลางช่วยเคลียร์ปัญหาให้ใครจะเดือดร้อนได้โดยไม่รู้ตัว

ท่านที่เกิดวันจันทร์
สัปดาห์นี้ให้ระวังเรื่องการใช้จ่ายให้มาก รวมถึงการไว้ใจคนในเรื่องเงินๆ ทอง ๆ  การงานได้ใกล้ชิดผู้ใหญ่หรือถูกมอบหมายให้ทำงานอาจเป็นชนวนให้ได้มีเรื่องขัดใจกับเพื่อนร่วมงาน  หากคิดจะสมัครงานยังต้องรอโอกาส  ความรักดีมีโอกาสเจอคนถูกใจ รวมถึงได้รับของฝากจากเพศตรงข้าม   ระวังการยกของหนักอาจทำให้เจ็บตัวได้

ท่านที่เกิดวันอังคาร 
เป็นสัปดาห์ที่ดีสำหรับคุณในเรื่องเงินทองหรือการหารายได้พิเศษ คุณจะมีโอกาสดีๆ ในการเป็นตัวแทนหรือนายหน้า การติดต่อเรื่องอสังหาริมทรัพย์ค่อนข้างดี ด้านการงานไม่ค่อยมีปัญหาเหมาะกับการเริ่มต้นงานตัวใหม่ หรือขอความร่วมมือจากเพื่อนร่วมงาน  รวมถึงการรับงานพิเศษต่างๆ เพื่อเพิ่มรายได้เข้ากระเป๋า ความรักมีเรื่องระหองระแหงหึงหวงกันด้วยเรื่องเก่าๆเดิมๆ  ระวังโรคประจำตัวกำเริบ

ท่านที่เกิดวันพุธ
ในรอบสัปดาห์นี้จะทำสิ่งใดหรือตัดสินใจเรื่องใหญ่ต้องรอบคอบและไม่เอาอารมณ์เป็นตัวตัดสิน  คุณมีเกณฑ์เสียหายเพราะความใจร้อนความเจ้าอารมณ์ ในเรื่องหน้าที่การงานแม้จะดูก้าวหน้าแต่ก็มีเรื่องให้วุ่นวายกับการสะสางกับงานตัวเก่า  มีโชคลาภจากเพศตรงข้าม  การเงินไม่ควรให้ใครหยิบยืมและมีเกณฑ์ได้จ่ายเงินกับสิ่งของฟุ่มเฟือย ระวัง ไข้หวัดหรือการติดเชื้อต่างๆ

ท่านที่เกิดวันพุธกลางคืน 
รอบสัปดาห์นี้แค่เริ่มต้นสัปดาห์ก็ต้องให้เห็นถึงความวุ่นวายเล็กๆ เป็นช่วงที่ต้องรอคอยไม่ได้ดั่งใจ ด้านการงานคุณต้องตั้งอกตั้งใจทุ่มเทอย่างสุดๆ จึงได้รับความสำเร็จอย่างที่ต้องการ เหมาะกับการหาลูกค้าหรือติดต่องานประมูล  การเงินควรรอบคอบและไม่ควรให้ใครหยิบยืมจะเกิดความเดือดร้อนได้ในอนาคต  คนเกิดวันนี้มีโชคในเรื่องความรัก และมีโอกาสรักเก่ากลับมา  ระวังอุบัติเหตุจากการใช้เครื่องมือและของมีคม  รวมถึงการผิดกฎจราจร

ท่านที่เกิดวันพฤหัสบดี
ในรอบสัปดาห์นี้ค่อนข้างสบายๆ ชิลๆ ไม่ค่อยมีอะไรมากวนใจมากนัก  หากจะพูดถึงเรื่องหน้าที่การงานยังต้องระวังการใกล้ชิดกับผู้ใหญ่ที่มากเกินจะทำให้คุณต้องเหน็ดเหนื่อยกับงานที่นอกเหนือหน้าที่ของตัวเอง  การลงทุนช่วงนี้ยังคงต้องชะลอไว้ก่อน รอไปสักเดือนหน้าค่อยลงมือทำ ในเรื่องเงินเหมาะกับการเดินเรื่องขอสินเชื่อ หรือเจรจาต่อรองผลประโยชน์ คุณมีเกณฑ์ได้รับเงินปันผลจากเรื่องการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ระวังเรื่อง สุขภาพไข้หวัด ภูมิแพ้

ท่านที่เกิดวันศุกร์    
รอบสัปดาห์นี้ดูเหมือนจะราบรื่นกับสิ่งรอบตัว แต่ก็ให้ระวังบริวารสร้างเรื่องสร้างปัญหาให้ตามแก้ไข หากมีปัญหาต้องรีบแก้โดยด่วนปล่อยไว้นานจะบานปลาย   ด้านการงานก้าวหน้ามีโอกาสได้รับมอบหมายงานใหม่ๆ  และหากคิดจะเปลี่ยนงานก็ให้ใจเย็นสิ่งที่วาดหวังไว้ไม่เป็นอย่างที่คิด ควรดูเรื่องค่าตอบแทนผลประโยชน์ให้ชัดเจน   การเงินแม้จะสะพัดคล่องมือทั้งรายรับรายจ่าย ความรักคนโสดมีเกณฑ์ได้พบรักใหม่ถูกใจจากการแนะนำของเพื่อนฝูง ระวังสุขอนามัยของการรับประทานอาหาร

ท่านที่เกิดวันเสาร์ 
รอบสัปดาห์นี้คุณจะค่อนข้างวุ่นวายกับเรื่องเงินๆ ทองๆ ทั้งการเป็นที่ปรึกษาให้กับคนรอบตัวและกับเพื่อนฝูง  ด้านการงานจะมีการปรับเปลี่ยนนโยบายทำให้ต้องแก้ไขตัวเนื้องานและเหมาะกับการสะสางงานเก่า การตามงานต้องใจเย็นหากใจร้อนอาจมีปัญหากับเพื่อนร่วมงาน   ความรัก สำหรับคนโสดจะมีคนมีเจ้าของเข้ามาสนิทสนม  การเงินดีเหมาะขอเครดิตหรือติดตามหนี้สิน ระวังคือคำพูดที่อาจสื่อสารคนละความหมายจนทำให้เกิดปัญหา
Share:

จีนลงทุนอสังหาฯไทยลดฮวบ 50% ยอดทิ้งดาวน์เพิ่ม 8%



อสังหาฯไทยเริ่มไร้แรงดึงดูด โบรกเกอร์เผย ความสนใจของลูกค้าจีนลดฮวบ 50% ยอดทิ้งดาวน์เพิ่มเป็น 8% เหตุราคาเริ่มแพง ผู้ประกอบการไทยขายตัดราคา และไม่สามารถปล่อยเช่ารายวันได้ เบนเป้าทำตลาดญี่ปุ่นแทน

นายไซม่อน ลี ประธานกรรมการ บริษัท แองเจิล เรียลเอสเตท  คอนซัลแทนซี่ จำกัด  บริษัทที่ปรึกษาด้านการตลาดและขาย ในภูมิภาคเอเชีย  เปิดเผยว่า  จากปัจจัยด้านสงครามการค้าระหว่างสหรัฐ-จีน มาตรการของรัฐบาลจีนที่ควบคุมเงินทุนไหลออกนอกประเทศ เงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ขณะที่ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ เริ่มเปิดโครงการจนอาจจะล้นตลาด ทำให้ราคาสูงเกินความเป็นจริง ส่งผลให้ส่วนต่างรจากราคาในตลาดผู้ขายต่อไม่ค่อยดีเท่าที่ควร เพราะราคาปรับสูงขึ้นมามากแล้ว

ประกอบกับ ไม่สามารถปล่อยเช่าระยะสั้นได้ เนื่องจากขัดกับพ.ร.บ.โรงแรม พ.ศ. 2547 ทำให้นักลงทุน โดยเฉพาะชาวจีนไม่ค่อยอยากลงทุน เพราะไม่คุ้มค่าการลงทุน และอีกประการสำคัญคือเมื่อปลายปี 2561 ที่ผ่านมามีลูกค้าชาวจีนพบว่า บางโครงการที่ได้มีการโอนกรรมสิทธิ์ไปแล้ว แต่ปรากฏว่าในภายหลังผู้ประกอบการไทยได้นำยูนิตที่เหลือมาขายในราคาที่ถูกกว่าช่วงพรีเซล

จากปัจจัยข้างต้นได้ส่งผลให้นักลงทุนชาวต่างชาติ โดยเฉพาะจีนลดความสนใจการซื้ออสังหาฯในประเทศไทยไปถึง 50% ทำให้อัตราการไม่รับโอนกกรมสิทธิ์ห้องชุดของลูกค้า​ชาวจีนเพิ่มเป็น 8% จากปกติเพียง 2% เท่านั้น และได้ย้ายการลงทุนอสังหาฯไปประเทศอื่นแทนโดยเฉพาะญี่ปุ่น ซึ่งเริ่มเห็นภาพดังกล่าวตั้งแต่ปี 2561 ที่ผ่านมา ดังนั้นบริษัทจึงปรับแผนด้วยการขยายตลาดไปที่ประเทศญี่ปุ่น กัมพูชา และตุรกีมากขึ้น

ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา ราคาอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยยังต่ำ แต่ตอนนี้แพงขึ้นมาก ทำให้ลดความน่าสนใจลง ขณะที่เศรษฐกิจประเทศญี่ปุ่นตกต่ำมา 20 ปี ได้เน้นมาขายนักท่องเที่ยวเป็นหลัก เราคิดว่า อสังหาริมทรัพย์ในญี่ปุ่น ราคากำลังจะดีขึ้น ตอนนี้เป็นช่วงที่ดีของนักลงทุน ที่จะไปลงทุนที่ประเทศญี่ปุ่น สำหรับบริษัทจะโฟกัสที่ประเทศไทยเป็นหลัก ส่วนในอนาคตจะไปโฟกัสที่ประเทศญี่ปุ่น แต่สำหรับประเทศไทยก็ยังเป็นตลาดสำคัญของเราอยู่

“เรื่องการปล่อยเช่าห้องชุดระยะสั้นที่ขัดกับพ.ร.บ.โรงแรม คือ ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดสำหรับนักลงทุนต่างชาติ  ถ้าสามารถทำให้ปล่อยเช่าระยะสั้นได้ ก็จะทำให้นักลงทุนในจีน เข้ามาลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยอีก นอกจากนี้่ ผู้ประกอบการไทยควรมีการขายแยกตึกอย่างชัดเจน แยกพื้นที่ส่วนกลางออกอย่างชัดเจนด้วยเช่นกัน นอกจากนี้่ ควรขายสินค้าในช่วงเวลาที่สามารถขายได้ ถ้าเก็บเอาไว้นานเกินไป อาจจะทำให้ขายยากหรือราคาตกได้" นายไซม่อน ลี กล่าว

นายลี แนะนำว่า การที่ลูกค้าชาวจีนจะกลับมาซื้ออสังหาฯในไทยนั้น สิ่งสำคัญ คือ ตลาดผู้ขายต่อ ( Reseller Market ) และเรื่องส่วนต่างของราคา (Capital Gain)  จะต้องสร้าง 2 ตลาดนี้ให้กลับก่อน ประเทศไทยเป็นประเทศที่ดี ที่จะอยู่อาศัย แต่จะดีที่สุด ถ้าทำให้ปล่อยเช่าได้ แล้วราคาก็จะลงไปด้วย จะทำให้นักลงทุนในจีน เข้ามาลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยเพิ่มขึ้น

สำหรับ บริษัท แองเจิล เรียลเอสเตทได้เริ่มเข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทยเมื่อปี 2557 เป็นการร่วมทุนระหว่าง 3 นักธุรกิจชาวจีน และ 1 นักธุรกิจชาวสิงคโปร์ ก่อตั้งบริษัทดังกล่าวขึ้นมาด้วยทุนจดทะเบียน 15 ล้านบาท  เพื่อให้บริการทางด้านการตลาด การขาย และด้านการเงิน กับลูกค้าที่ต้องการเข้ามาซื้ออสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย

ทั้งนี้ เนื่องจากประเทศไทยมีอสังหาริมทรัพย์ราคาไม่แพง และสินค้าคงค้าง ( Stock) มีปริมาณไม่มาก เป็นโอกาสที่จะนำอสังหาริมทรัพย์มาขายได้ทั่วโลก โดยมีแนวโน้มที่จะสร้างผลกำไรจากส่วนต่างของราคาอสังหาริมทรัพย์ (Capital Gain) ได้ ทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่ดีที่สุดในการเข้ามาลงทุน แองเจิลฯ จึงขยายธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย

สำหรับการดำเนินงานตั้งแต่เริ่มดำเนินธุรกิจในรอบ 6 ปีที่ผ่านมา เป็นไปในทิศทางที่ตั้งเป้าไว้ กล่าวคือ สามารถสร้างผลงานด้านยอดขายให้กับบริษัทอสังหาริมทรัพย์ในไทยได้อย่างต่อเนื่อง โดยเริ่มต้นช่วง 2 ปีแรก 2557-2558 ขายได้ห้องชุดได้ 500 ยูนิต  ก่อนที่จะขยับยอดขายเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวในปี 2559 สามารถขายได้ 1,000 ยูนิต ในปี 2560 ขายได้กว่า 2,000 ยูนิต  และในปี 2561 ขายได้กว่า 3,000 ยูนิต ส่วนในปี 2562 ตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 15,000-20,000  ล้านบาท และในอนาคตอันใกล้จะเพิ่มยอดขายสู่ระดับ 35,000 ล้านบาท

โดยในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2562 ที่ผ่านมา สามารถทำยอดขายได้ 500 กว่ายูนิต ซึ่งถือกว่าลดลง เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2561 ที่ผ่านมา ที่สามารถขายได้ประมาณ 900 ยูนิต โดยในอดีตคอนโดฯระดับราคา 5-10 ล้านบาท จะขายได้ง่ายมาก แต่ปัจจุบันต้องเลือกห้องชุด ระดับราคา 2-6 ล้านบาท มาขายแทน อันเนื่องมาจากปัจจัยลบต่างๆข้างต้น แต่ยอดขายที่ได้ในปัจจุบันก็ถือว่าพอใจ

“ฐานลูกค้าของบริษัทประมาณ 55% มาจากตลาดประเทศจีน และ 35% มาจากประเทศในภูมิภาคเอเชีย และอีก 15% มาจากประเทศฝรั่งเศลและประเทศเบลเยี่ยม " นายลี กล่าว

สำหรับ ห้องชุดที่นำไปขายลูกค้าต่างชาติ ล้วนพัฒนาโดยผู้ประกอบการรายใหญ่แทบทั้งสิ้น อาทิ บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด(มหาชน),บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด(มหาชน),บริษัท ศุภาลัย จำกัด(มหาชน),บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด(มหาชน) ,บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ,บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน)  และ บริษัท ไซมิส แอสเสท จำกัด  เป็นต้น










Share:

เสนาฯลุยต่อ10คอนโด ฝ่าด่าน LTV พันธมิตร ฮันคิว มั่นใจดีมานด์ยังโต



เป็นเวลากว่า 3 ปี ที่บริษัท เสนา ดีเวลลอปเม้นท์  จำกัด (มหาชน) ได้ร่วมกับพันธมิตรจากญี่ปุ่น  ฮันคิว ฮันชิน พร็อพเพอร์ตี้ส์ คอร์ป พัฒนาคอนโดมิเนียมในไทย ในนามบริษัท เสนา ฮันคิว จำกัด มีโครงการที่พัฒนาร่วมกันรวม 13 โครงการ กว่า 10,000 ยูนิต มูลค่ารวม 37,000 ล้านบาท

ถือเป็นการเปิดเกมรุกในการลงทุนที่ค่อนข้างหนักหน่วง และทำให้ เสนา เติบโตอย่างก้าวกระโดด จากยอดขายปี 2560 อยู่ที่ 6,200 ล้านบาท ขยับขึ้นหลัก 10,000 ล้านบาทในปี 2561 และในปี 2562 ตั้งเป้าไว้ถึง 19,600 ล้านบาท ขณะที่เป้ารายได้อยู่ที่ 8,278 ล้านบาท จากปี 2560-2561 มีรายได้ 5,221 ล้านบาท และ 5,539 ล้านบาท ตามลำดับ


นอกจากนี้ ยังมีแผนที่จะเปิดโครงการใหม่ๆ ร่วมกันอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการจัดกิจกรรมการตลาดที่ทางญี่ปุ่นจะเข้ามาช่วยเติมเต็ม สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น

"ในปีนี้จะมีโครงการที่ร่วมลงทุนกับเสนาฯอีก 10 โครงการ เนื่องจากมั่นใจว่า ความต้องการซื้อของผู้บริโภคคนไทยจะเติบโตมากขึ้นในอนาคต จากการหลั่งไหลของคนจากต่างจังหวัดเข้ามาในกรุงเทพฯ" มาซะฮิโกะ โทดะ กรรมการบริหาร ฮันคิว ฮันชิน พร็อพเพอร์ตี้ส์ คอร์ป กล่าว

แม้ในขณะนี้จะมีปัญหาเรื่องของการคุม LTV ของสินเชื่อที่อยู่อาศัย แต่ผู้บริหารจาก ฮันคิว ฮันชิน ก็ยังมั่นใจที่จะลงทุนในไทยอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับบอกว่า ญี่ปุ่นก็เคยผ่านเรื่องพวกนี้มาแล้วเช่นกันจึงคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไรในระยะยาว

ขณะที่ผศ.ดร. เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการ บริษัท เสนา ฮันคิว อธิบายเพิ่มเติมว่า 10 โครงการ มูลค่ารวม 30,000 ล้านบาท ที่มีแผนร่วมทุนกับฮันคิว ฮันชินในปีนี้นั้น ส่วนหนึ่งจะเป็นโครงการที่อยู่ใน 13 โครงการที่เคยประกาศแผนร่วมทุนไปแล้วก่อนหน้า โดยจะมี 5 โครงการที่เป็นโครงการใหม่ อย่างไรก็ตาม การลงทุนในขณะนี้คงต้องดูปัจจัยแวดล้อมต่างๆ ให้รอบครอบ โดยยอมรับว่า LTV มีหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ตลาดชะลอตัวในขณะนี้
"ตลาดในปีนี้คงไม่ง่าย และมีปัจจัยลบในหลายประเด็นที่ต้องระมัดระวัง ทั้งภาวะเศรษฐกิจ ทิศทางการเมืองที่ยังไม่ชัดเจน และปัญหา LTV   ซึ่งมีผลกระทบมากที่สุดกับบ้านหลังที่ 2 ขึ้นไปที่มีสัดส่วนอยู่ประมาณ 20% ซึ่งยอดขายใน 2 เดือนของไตรมาสที่ 2 เงียบลงมาก แต่ก็ตอบยากว่าสาเหตุหลักมาจากอะไร นอกจากนี้ ในช่วงเดือน 4-5 ก็ยังมีวันหยุดต่อเนื่อง และเป็นช่วงที่ไม่ใช่ฤดูขายอีกด้วย โดยยอดขาย 5 เดือนแรกของบริษัทสามารถทำได้ 70-80% ของเป้าหมายที่ตั้งไว้"

สำหรับปัญหาเรื่อง LTV คงต้องยอมรับว่าเราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงกฎอะไรได้ สิ่งที่ทำได้คือ การสร้างการรับรู้ และการเตรียมตัวให้กับลูกค้า นอกจากนี้ยังมี แนวทางช่วยเหลือลูกค้าในกรณีที่กู้ไม่ผ่านตามมาตรการ LTV ใหม่ เช่น อาจจะยืดเวลาโอนให้ลูกค้าได้มีเวลาในการแก้ปัญหา เป็นต้น อย่างไรก็ตาม หากรัฐบาลใหม่เข้ามาบริหารประเทศ ทุกอย่างน่าจะดีขึ้น

นอกจากนี้ ยังได้เปิดแคมเปญ “ให้อยู่ฟรีก่อนโอนฯ” โดยนำคอนโดพร้อมอยู่ 3 ทำเล ราคาเริ่มต้น 1.7 ล้านบาท  ให้ลูกค้าที่เช่าห้องได้อยู่ฟรี 6 เดือน ก่อนโอน เพื่อลดภาระ และเพิ่มโอกาสให้กับลูกค้าที่เป็นเรียลดีมานด์

บริษัทได้จัดกลยุทธ์นำร่อง เจาะกลุ่มลูกค้าเรียลดีมานด์ที่ต้องการที่อยู่อาศัย แต่ยังมีภาระหรือยังไม่พร้อมทางด้านสภาพคล่องทางการเงิน เช่น ลูกค้าที่อยู่ระหว่างการทดลองงาน หรือกลุ่มลูกค้าที่ต้องสร้าง Statement เพิ่ม ,ลูกค้าที่ติดเครดิตบูโรต้องใช้ระยะเวลาในเคลียร์หนี้บัตรต่าง ๆ เป็นต้น โดยได้นำ 3 โครงการภายใต้แบรนด์ “นิช ไอดี” มาให้อยู่ฟรีก่อนโอนกรรมสิทธิ์ 6 เดือน

ทั้ง 3 โครงการ ประกอบด้วย 1.โครงการ นิชไอดี เสรีไทย-วงแหวน ราคาเริ่ม 1.71 ล้านบาท 2.โครงการ  นิช  ไอดี  เพชรเกษม-บางแค ราคาเริ่ม 1.7 ล้านบาท 3.โครงการ   นิช ไอดี พระราม 2 – ดาวคะนอง  ราคาเริ่ม  1.79 ล้านบาท โดยเริ่มตั้งแต่ 15 มิถุนายนถึงสิ้นเดือนธันวาคม 2562

ขณะเดียวกัน ได้ร่วมพันธมิตร ฮันคิว ฮันชิน พร็อพเพอร์ตี้ส์ คอร์ป มอบสิทธิประโยชน์ให้กับลูกบ้านของเสนาฮันคิว CRM PRIVILEGE PROGRAM “SENA HANKYU HANSHIN OWNERS CLUB” เพื่อเปิดประสบการณ์ที่แตกต่างและเหนือระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน ภายใต้วิสัยทัศน์ “เราไม่ได้สร้างเพียงที่อยู่อาศัย เราสร้าง Community”
ประกอบด้วย สิทธิประโยชน์ที่ตอบรับทุกไลฟ์สไตล์ อาทิ แพ็กเก็จญี่ปุ่น คันไซทัวร์ กิจกรรมของ Hankyu Hanshin Owners Club ลุ้นรับสิทธิพิเศษเข้าร่วมงานชิมไวน์ระดับนานาชาติ และเรียนทำอาหารคอร์สพิเศษ บัตรรถไฟสาย Hankyu Hanshin สำหรับทริป 1 วัน (เฉพาะเขตพื้นที่คันไซ) รับบัตรเงินสด มูลค่า 3,000 เยน ให้คุณได้ช็อปปิ้งอย่างคุ้มค่า 4 ห้างดัง เป็นต้น

ยูกาโกะ มัสซึโอะ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ฮันคิว ฮันชิน พร็อพเพอร์ตี้ส์ คอร์ป กล่าวว่า สิทธิประโยชน์พิเศษเหล่านี้ เป็นสิ่งที่ทางฮันคิว ฮันชินได้มอบให้แก่ลูกค้าในโครงการที่ญี่ปุ่นด้วยเช่นกัน เรียกว่า “Hankyu Hanshin Owner Club” โดยเริ่มมีโปรแกรมนี้ตั้งแต่ปี 2550 เป็นสิทธิพิเศษสำหรับลูกบ้าน เพื่อแสดงให้เห็นว่า ตลอดระยะเวลา 3 ปี ที่เข้ามาพัฒนาโครงการในไทย เราให้ความสำคัญกับความต้องการที่แท้จริงของลูกค้ามาตลอด เราจึงไม่หยุดที่จะพัฒนาและนำเสนอสินค้าและการบริการที่หลากหลายให้แก่ลูกค้าของเสนา ฮันคิว
Share:

สร้างบ้าน ตามสั่ง กับบริษัทรับสร้างบ้าน



เคยบ้างไหม? เวลาที่เราหาซื้อบ้าน แต่เลือกยังไงก็ยังไม่โดนใจซักที ทำเลก็ยังไม่ใช่ แบบบ้านก็ยังไม่โดนใจ ฟังก์ชั่นก็ยังไม่ตอบโจทย์ รูปร่างหน้าตาก็เหมือนๆ กันไปหมด เพราะทุกวันนี้ โครงการบ้านจัดสรร คือตลาดหลักของคนที่ต้องการหาซื้อบ้าน จึงมีคำถามตามมาว่ายังมี solution อื่นๆ สำหรับคนที่มีความต้องการที่ต่างกันออกไปบ้างไหม

ธุรกิจรับสร้างบ้านจึงเข้าตอบโจทย์ของคนกลุ่มนี้ ซึ่งมีทั้งการว่าจ้างผู้รับเหมาก่อสร้างทั่วๆ ไป มาออกแบบสร้างให้บนที่ดินที่มีอยู่ แต่ผลที่ได้คือ งบบานปลาย งานที่ได้ไร้คุณภาพ ไม่ตรงตามเวลา บางทีก็ทิ้งงานกันไปเฉยๆ จึงเป็นที่มาของบริษัทที่ให้บริการรับสร้างบ้านขึ้นโดยเฉพาะ ให้บริการแบบมืออาชีพ มีทั้งทีมสถาปนิก วิศวกร ทีมการตลาดให้บริการลูกค้าตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงหลังการอยู่อาศัย

ธุรกิจนี้เติบโตขึ้นเรื่อยๆ ตามความเชื่อมั่นและการยอมรับของผู้บริโภค ขยายตัวจากมูลค่าตลาดหลักพันล้านเป็นระดับหมื่นล้านบาท เกิดการแข่งขันทั้งในเรื่องของรูปแบบบ้าน ราคา บริการ เพื่อตอบสนองผู้บริโภคให้ได้ดีที่สุด แต่ละช่วงเวลา จนกลายเป็นหนึ่งในทางเลือกของผู้ที่ต้องการมีบ้านเป็นของตนเอง บ้านที่ตอบโจทย์ ตรงใจได้มากกว่า บ้านจัดสรร ที่มีอยู่ในท้องตลาด ในราคาตั้งแต่ 2 ล้านบาทไปจนถึงหลัก 10 หลัก 100 ล้านบาท

ข้อดีของธุรกิจรับสร้างบ้าน
  • ได้รับบริการจากมืออาชีพ ทั้งสถาปนิก วิศวกร ทีมการตลาด 
  • เลือกแบบที่ถูกใจ ปรับเปลี่ยนฟังก์ชั่นได้ตามที่ต้องการ
  • มีสัญญามาตรฐานที่ควบคุมโดยสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค
  • ระยะเวลาส่งมอบที่กำหนดชัดเจน
  • งบประมาณไม่บานปลาย

สร้างบ้านโดนใจไร้กังวล ต้องเตรียมตัวอย่างไร
  • เงื่อนไขแรกเลยคือเราต้องมีที่ดินเป็นของตัวเอง แน่นอนว่า การสร้างบ้านบนที่ดินที่มีอยู่ ทำให้ได้อยู่ในพื้นที่หรือทำเลที่คุ้นเคย อยู่ในบริเวณเดียวกับสมาชิกของครอบครัวแบบไทยๆ
  • สำหรับคนที่ไม่มีที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์ของตัวเอง ก็ยังพอมีทางเลือกอื่นๆ เช่น บริษัทรับสร้างบ้านบางแห่งก็มีบริการจัดหาที่ดินให้ หรือจะออกแรงหาซื้อเองก็มีหลายแหล่งให้เลือกซื้อ เช่น แหล่งรวมที่ดินในออนไลน์ สินทรัพย์หลุดจำนองของกรมบังคับคดี หรือสินทรัพย์ NPA ((Non Performing Asset) ของสถาบันการเงินต่างๆ เป็นต้น
  • กรณีที่ซื้อที่ดินเองไม่ว่าจะเลือกซื้อจากแหล่งไหน ก็ควรดูที่ดินที่อยู่ในพื้นที่บริการสาธารณูปโภค สาธารณูปการ ที่สะดวก เข้าถึงง่าย มีทางเข้าออกที่ชัดเจน ไม่อยู่ในพื้นที่เปลี่ยว และโดดเดี่ยวจนเกินไป ที่สำคัญอย่าลืมตรวจสอบว่าอยู่ในพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมด้วยหรือเปล่า เพราะที่ดินที่อยู่ในทำเลที่ดีย่อมมีผลต่อการประเมินสินเชื่อของธนาคารด้วยเช่นกัน
  • วางแผนด้านการเงิน ที่ผ่านๆ คนที่จะปลูกสร้างบ้านเองมักจะต้องมีฐานะ รายได้ที่ดีพอจนไม่จำเป็นต้องกู้ธนาคาร แต่สำหรับคนรายได้ปานกลาง เพิ่งเริ่มสร้างครอบครัว ก็สามารถสร้างบ้านเองได้ เพราะปัจจุบันมีหลายธนาคารให้บริการสินเชื่อเพื่อปลูกสร้างบ้าน ด้วยเงินกู้สูงถึง 100% ของค่าก่อสร้าง (กรณีที่มีที่ดินปลอดภาระจำนอง) หรือ 90% ของค่าที่ดินและค่าก่อสร้าง (กรณีขอกู้ซื้อที่ดินมาปลูกสร้างบ้าน) ยิ่งถ้าที่ดินเป็น NPA ของธนาคารเอง ก็จะมีเงื่อนไขพิเศษเพิ่มอีกต่างหาก
  • แต่ถึงอย่างไร เราก็ต้องมีเงินก้อนสักประมาณ 20% ของราคาบ้าน เนื่องจากวงเงินสินเชื่อปล่อยแค่ 90% ของราคาที่ดินและค่าปลูกสร้าง นอกจากนี้ การปล่อยสินเชื่อสร้างบ้าน ธนาคารจะทยอยให้ตามสัญญาเงินกู้เป็นงวดๆ ตามความคืบหน้าของการปลูกสร้าง ดังนั้นจึงต้องมีเงินเตรียมไว้สำหรับการก่อสร้างในงวดแรกก่อน การออมเงินไว้ล่วงหน้าจะทำให้เราคล่องตัวขึ้น
  • เลือกบริษัทที่ดีมีคุณภาพ ดูจากผลงานที่ผ่านๆ มา ทีมงานที่เป็นมืออาชีพ ทั้งสถาปนิก วิศวกรที่มีเพียงพอ ไปจนถึงคนงานก่อสร้างต้องมีทักษะในงานที่ดี เราสามารถเช็คประวัติการทำงานได้ตามสื่อออนไลน์ต่างๆ หรือเช็คไปที่สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน ในกรณีที่บริษัทนั้นๆ เป็นสมาชิกของสมาคม
บริษัทที่ทำธุรกิจรับสร้างบ้าน เป็นจริงเป็นจัง (ไม่ใช่ผู้รับเหมา) ปัจจุบันมีอยู่เป็นร้อยๆ บริษัท แต่ละรายก็พยายามแข่งขันกันด้วยคุณภาพสินค้า และบริการที่ดี ยิ่งในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจไม่ค่อยเป็นใจแบบนี้ แต่ละรายก็ล้วนแข่งขันกันแย่งชิงลูกค้าด้วยข้อเสนอพิเศษต่างๆ มากมาย

แต่ถ้าจะพูดถึงบริษัทที่คร่ำหวอดในธุรกิจนี้มาอย่างยาวนาน ถือเป็นเจ้าแรก และเป็นเบอร์ต้นๆ ของธุรกิจรับสร้างบ้านเลยก็คือ บริษัท ซีคอน โฮม จำกัด ที่ทำธุรกิจนี้มานานเกือบ 60 ปี จากยอดขายหลัก 10 หลัก 100 ล้านบาท ปีนี้ ซีคอน โฮม ตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 1,600 ล้านบาท เติบโตประมาณ 20% พร้อมกับเปิดกลยุทธ์ใหม่รุกตลาดใน 2 ไตรมาสสุดท้ายของปี

มนู ตระกูลวัฒนะกิจ
ซีคอนเปิดแคมเปญ You Dream We Build 
มนู ตระกูลวัฒนะกิจ แม่ทัพใหญ่ ซีคอน โฮม จำกัด กล่าวว่า ในช่วง 2 ไตรมาสสุดท้ายของปี บริษัทจะเน้นชูจุดขาย “You Dream…We Build สร้างได้อย่างที่ฝัน” เพื่อสร้างการรับรู้ที่ดีต่อแบรนด์และสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค รวมถึงมุ่งเน้นการตลาดออนไลน์ในช่องทางต่างๆ ให้มากขึ้น

พร้อมกับการนำนวัตกรรมมาปรับใช้เพื่อร่นระยะเวลาและเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ อาทิ การใช้จอแสดงผล Touchscreen ในการนำเสนอแบบบ้าน โดยลูกค้าสามารถเลือกแบบบ้าน พร้อมปรับแบบตามความต้องการได้ในเบื้องต้น หรือในขั้นตอนการคิดมูลค่าของทีมประมาณการราคา ซึ่งช่วยให้ทราบราคาที่เปลี่ยนแปลงได้รวดเร็วขึ้น

ขณะเดียวกัน บริษัทยังมีแนวคิดที่จะอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าที่ต้องการที่ดินสำหรับการปลูกสร้างบ้าน โดยได้หารือเบื้องต้นกับบริษัท อีอาร์เอ โบรกเกอร์รายใหญ่ เข้ามาช่วยในเรื่องดังกล่าว แต่เพิ่งเป็นการพูดคุยกันในแนวคิด

นอกจากนี้ ในปีที่ผ่านมา บริษัท ได้ปรับเปลี่ยนการทำตลาดแบรนด์ คอมแพค โฮม  และบัดเจทโฮม ให้ทำตลาดภายใต้แบรนด์ซีคอนโฮมเพียงแบรนด์เดียว เนื่องจากเห็นว่าธุรกิจรับสร้างบ้านมีขนาดตลาดไม่ใหญ่เหมือนธุรกิจจัดสรร ไม่จำเป็นต้องแบ่งเซ็กเมนต์ย่อย ซึ่งจะทำให้มีค่าการตลาดเพิ่มขึ้น ประกอบกับลูกค้าที่สร้างบ้านกับ "คอมแพคโฮม และบัดเจทโฮม" ต่างเข้าใจตรงกันว่าในความจริงแล้วก็คือการสร้างบ้านกับ "ซีคอนโฮม"

ปัจจุบัน ซีคอน โฮม มีแบบบ้านที่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคกว่า 200 แบบ ในราคาการก่อสร้างเริ่มต้นที่ 2 ล้านบาท ตอบโจทย์ในทุกความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย ทั้ง Young Generation , First Jobber และกลุ่ม Successor โดยฐานลูกค้าปัจจุบันกว่า 60% นิยมสร้างบ้านที่ระดับราคา 5-6 ล้านบาท ที่เน้นเรื่องการออกแบบ ฟังก์ชั่นการใช้งาน และการแบ่งสัดส่วนพื้นที่ภายในบ้านที่แตกต่างกันตามความต้องการของแต่ละครอบครัว

นอกจากนี้ ซีคอน โฮม ยังเป็นบริษัทรับสร้างบ้านรายแรกที่นำเสนอบ้านตัวอย่างที่ปลูกสร้างจริง เพื่อให้ลูกค้าได้สัมผัสประสบการณ์จริงของฟังก์ชันการใช้งาน และบรรยากาศภายในบ้าน ก่อนการตัดสินใจ ปัจจุบัน    ซีคอน โฮม มีทั้งหมด 5 ศูนย์เพื่ออำนวยความสะดวกด้านการเดินทางให้กับลูกค้า ได้แก่ ซีคอนโฮม ศูนย์สี่พระยา ศูนย์บางแค ศูนย์แจ้งวัฒนะ ศูนย์รามอินทรา ศูนย์ศรีนครินทร์ และมีแผนเปิดสาขาใหม่ที่งามวงศ์วานในปีหน้า



Share:

แนะรัฐบาลใหม่เร่งเดินหน้าเมกะโปรเจ็กต์-อีอีซี


แคปปิตอล วัน แนะรัฐบาลใหม่เร่งเครื่องเมกะโปรเจ็กต์-อีอีซี สร้างความเชื่อมั่นนักลงทุน บูมอสังหาฯ ศรีราชา-ชลบุรี

นายวิทย์ กุลธนวิภาส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แคปปิตอล วัน เรียลเอสเตท จำกัด บริษัทที่ปรึกษาทางด้านอสังหาริมทรัพย์ที่มีพอร์ตบริหารการขาย จำนวน 30,000 ล้านบาท เปิดเผยถึงแนวทางกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ว่า เรื่องโครงการรถไฟความเร็วสูง (ไฮสปีดเทรน) และนโยบายการลงทุนในโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก(อีอีซี) ควรมีความต่อเนื่องในโยบาย ดำเนินการออกกฎหมายที่เป็นรูปธรรมที่ชัดเจนโดยเร็ว เพื่อให้ภาคธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ มีความเชื่อมั่นในการลงทุน ซึ่งจะส่งผลดีต่อภาคอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่อีอีซี

วิทย์ กุลธนวิภาส
"ตอนนี้ นักลงทุนลังเลว่า นโยบายเมกะโปรเจ็กต์จะมีความต่อเนื่องหรือไม่ เพราะมีผลต่อการขับเคลื่อนภาคเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งเราหวังว่า โครงการลงทุนขนาดใหญ่จะมีการสานต่อในรัฐบาลประยุทธ์ 2 " นายวิทย์ กล่าว
ทั้งนี้ โครงการไฮสปีดเทรนที่เชื่อมการเดินระหว่าง 3 สนามบิน เป็นโครงการที่สร้างความเจริญเติบโตและส่งเสริมการท่องเที่ยว ขณะที่อำเภอศรีราชา ในจังหวัดชลบุรี  จะยิ่งทำให้ภาคอสังหาริมทรัพย์ในศรีราชา ได้รับอานิสงส์มากยิ่งขึ้น ที่ผ่านมา จากนโยบายของภาครัฐในการผลักดันโครงการอีอีซี ราคาที่ดินในศรีราชาปรับขึ้นไป 30% โดยเฉพาะที่ดินในเมืองซื้อขายประมาณ 350,000 บาทต่อตารางวา จากช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ราคาซื้อขายประมาณ 200,000 บาทต่อตารางวา นอกจากนี้ เซ็นทรัล ยักษ์ใหญ่ในธุรกิจห้างสรรพสินค้า ได้ขยายลงทุนเปิดศูนย์การค้าที่ใหญ่ที่สุดในศรีราชา บริเวณใกล้กับโรงเรียนดาราสมุทร อ.ศรีราชา จังหวัดชลบุรี

ในขณะที่ นักลงทุนจากประเทศญี่ปุ่นและจีน มีการเข้าตั้งฐานการผลิตในพื้นที่ศรีราชาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งยอดการขอรับส่งเสริมการลงทุนที่สูงขึ้นตั้งแต่ช่วง ม.ค.-พ.ค.2562 โดยมียอดรวมการลงทุน 63,651.92 ล้านบาท ปรับตัวสูงขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2561 ถึง 326% โดยประมาณ 70% เป็นการลงทุนในพื้นที่จังหวัดชลบุรี ซึ่งจะส่งผลให้ภาคอสังหาริมทรัพย์ ในกลุ่มคอนโดมิเนียมมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง มีอัตราผลตอบแทนจากการปล่อยเช่า (Rental Yield ) ประมาณ 8%

ปัจจุบัน มีชาวญี่ปุ่นที่อยู่ในศรีราชาประมาณ 30,000 คน และคาดว่าการเพิ่มขึ้นของโรงงานหรือการย้ายฐานธุรกิจจากประเทศจีนมาไทยจะมีมากขึ้น หลังจาก EEC มีความชัดเจน เพื่อลดผลกระทบจากข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐและจีน(Trade war) จะส่งผลให้ชาวต่างชาติและชาวญี่ปุ่นเข้ามาพื้นที่ศรีราชารวมเป็น 40,000 คน จะส่งผลต่อความต้องการห้องชุดที่จะเพิ่มมากขึ้นด้วย โดยปัจจุบันซัพพลายในศรีราชามีสต๊อกคงเหลืออยู่ประมาณ 3,000 ยูนิต ในระดับราคา 80,000-120,000 บาทต่อตารางเมตร(ตร.ม.) ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของ Expat และ กลุ่มลูกค้าบีบวกถึงเอ ส่วนใหญ่จะสร้างเสร็จมาแล้ว 1-2 ปีซึ่งไม่น่าเป็นห่วง
"ลูกค้าชาวจีน ซื้อและโอนเป็นปกติ ห้องชุดที่บริษัทแคปปิตอล วัน บริหารยังสามารถโอนได้หมด ไม่มีการทิ้งดาวน์ เนื่องจากทางโครงการมีการเก็บเงินดาวน์จากลูกค้าชาวจีนหรือชาวต่างประเทศ 30%"
นายวิทย์ กล่าวต่อว่า รัฐบาลประยุทธ์สอง ควรเร่งกระตุ้นภาคเศรษฐกิจในระยะสั้นโดยเร็ว  เพื่อให้อารมณ์ของคนซื้อดีขึ้น เช่น ภาพรวมการออกมาตรการลดภาษีระยะสั้น ซึ่งเราต้องใช้เครื่องมือทางนโยบายการเงินและการคลังควบคู่กันไป มาตรการลดหย่อนค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนอง ที่จะส่งผลให้เกิดการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย นอกจากนี้ รัฐบาลใหม่ ควรมาทบทวนเรื่องมาตรการกำกับสินเชื่อภาคอสังหาริมทรัพย์ (LTV) ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ได้ดำเนินมาตรการมาแล้ว 2 เดือน (เริ่ม 1 เมษายน 2562) ได้ส่งผลกระทบภาคอสังหาฯและผู้ที่จะซื้อที่อยู่อาศัย เนื่องจากสถาบันการเงินเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อมากขึ้น


Share:

ผ่าอาณาจักรแสนล้าน ‘แอสเสท เวิรด์’ แปรรูปอสังหาฯเจ้าสัวสู่บริษัทมหาชน

ช่วงที่ผ่านมา ทีซีซี กรุ๊ป กลุ่มธุรกิจของนายเจริญ สิริวัฒนภักดี เจ้าสัวรายใหญ่ของเมืองไทยมีความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ในความครอบครองที่มีอยู่มากมายมหาศาล แม้แต่เจ้าตัวยังจำได้ไม่หมด นั่นก็คือ การจัดพอร์ตที่ดินที่มีอยู่กันใหม่ ทางหนึ่งเพื่อส่งไม้ต่อให้กับทายาทในระดับลูกและมองยาวไปถึงระดับหลาน เหลนในอนาคต ทางหนึ่งเป็นการเปลี่ยนถ่ายกำลังพลจากเก่าสู่ใหม่ และอีกทางหนึ่งก็เพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจและผลประโยชน์ทางด้านภาษี ซึ่งจะมีภาระมากขึ้นหลังการประกาศใช้ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในวันที่ 1 มกราคม 2563 เป็นต้นไป
เจริญ สิริวัฒนภักดี
กงสีแสนล้านสู่บริษัทมหาชน
ล่าสุดคือ การนำบริษัท  แอสเสท เวิรด์ คอร์ป ซึ่งเป็นบริษัทโฮลดิ้งที่ดูแลธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการ (Hospitality) และกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ (Retail and Commercial Building) เข้ายื่นยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล การเสนอขายหลักทรัพย์และร่างหนังสือชี้ชวน (ไฟลิ่ง) ต่อสํานักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) โดยให้ นางวัลลภา ไตรโสรัส ลูกสาวคนที่ 2 เป็นแกนนำ ในตำแหน่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่

 "คุณพ่อ (นายเจริญ สิริวัฒนภักดี) อยากทำให้ธุรกิจของครอบครัวเข้าสู่ระบบเป็นไปมาตรฐานของการทำธุรกิจในระดับสากลมากขึ้น  และไม่อยากให้รุ่นลูกรุ่นหลานไปยึดติดกับธุรกิจครอบครัวมาก จึงมีแนวคิดรวมอสังหาริมทรัพย์ระดับไพรม์ของกลุ่มทีซีซีเข้าด้วยกัน และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ โดยได้ยื่นไฟลิ่งให้ก.ล.ต.พิจารณาแล้ว” นางวัลลภา กล่าว

บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป มีสินทรัพย์ซึ่งประกอบด้วย โรงแรม อาคารสำนักงาน และพื้นที่ค้าปลีกหลากหลายรูปแบบ มีมูลค่ารวมกัน 92,759 ล้านบาท และจะเพิ่มขึ้นอีกเป็นหลักแสนล้านบาทในอนาคตเมื่อได้มีการนำทรัพย์สินในกงสีทีซีซี กรุ๊ป เข้ามาอยู่ภายใต้การบริหารงานของ แอสเสท เวิรด์ คอร์ป รวมถึงโรงแรมอีก 12 แห่งที่ได้ทำสัญญาซื้อขายกันไว้รวมมูลค่า 25,411 ล้านบาท ค่อยๆ ทะยอยเข้ามาในพอร์ตของ แอสเสท เวิรด์

วัลลภา ไตรโสรัส
การเสนอขายหุ้นในครั้งนี้ เป็นการเสนอขายหุ้นสามัญต่อบุคคลตามดุลยพินิจของผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ ผู้ลงทุนสถาบัน ผู้มีอุปการคุณของบริษัท และผู้ซื้อหุ้นเบื้องต้นในต่างประเทศ เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน จำนวนไม่เกิน 6,957,000,000  หุ้น คิดเป็น 22.47% ของทุนที่ชำระแล้ว 24,000 ล้านบาท (ทุนจดทะเบียน 32,000 ล้านบาท) มูลค่าหุ้นที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท หลังการระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์กลุ่มของนายเจริญจะลดสัดส่วนการถือหุ้นในแอสเสท เวิรด์ ลงจาก 100% เหลือ 75%

สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุนจะใช้เป็นเงินลงทุนในการเข้าซื้อกิจการโรงแรมทั้ง 12 แห่ง และใช้ในการลงทุนพัฒนา ปรับปรุงทรัพย์สินของบริษัท ใช้ชำระคืนเงินกู้ยืมให้กับธนาคาร และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินกิจการ
เครือข่ายธุรกิจ แอสเสท เวิรด์ 
ปัจจุบัน แอสเสท เวิรด์ เป็นทั้งเจ้าของและผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ทั้งในกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการ (Hospitality) และกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ (Retail and Commercial Building) ทั้งหมด 29 แห่ง ตั้งอยู่ในทำเลทางธุรกิจและการท่องเที่ยวที่สำคัญทั่วประเทศไทย โดยโครงการส่วนใหญ่หรือ 90% เป็นอสังหาริมทรัพย์ที่บริษัทมีกรรมสิทธิ์ (Freehold) และเป็นโครงการขนาดใหญ่ที่มีมูลค่าสูงซึ่งมีแนวโน้มที่จะได้รับประโยชน์จากการเพิ่มขึ้นของมูลค่าที่ดิน

-ธุรกิจโรงแรม
ในส่วนของธุรกิจโรงแรม แอสเสท เวิรด์ มีโรงแรมระดับ Midscale ขึ้นไปรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เมื่อพิจารณาจากจำนวนห้องพัก โดยขณะนี้เป็นเจ้าของโรงแรมที่เปิดดำเนินการแล้วทั้งหมด 10 แห่ง มีจำนวนห้องพักรวมทั้งสิ้น 3,432 ห้อง ตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ เชียงใหม่ สมุย กระบี่ และภูเก็ต และยังมีโรงแรมอีก 5 แห่งที่กำลังอยู่ระหว่างการปรับปรุงหรือพัฒนาใหม่ รวมกับโรงแรมที่จะซื้อโรงแรมอีก 12 แห่ง คาดว่าจะมีจำนวนห้องพักรวมทั้งสิ้นประมาณ 8,500 ห้อง ที่บริหารงานโดยผู้บริหารโรงแรมชั้นนำระดับสากล เช่น แมริออท อะ ลักซ์ชูรี คอลเล็คชั่น บันยันทรี และฮิลตัน และกำลังอยู่ในระหว่างกับผู้บริหารโรงแรมแบรนด์มีเลียสำหรับโครงการโรงแรมในอนาคตอีกด้วย นอกจากนี้ บริษัทมีแผนพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต และเพิ่มมูลค่าของเงินลงทุนในระยะยาว

12 รร.2.5หมื่นล.จ่อคิวเข้าพอร์ต
สำหรับโรงแรมทั้ง 12 แห่ง มูลค่า  ที่เตรียมจะซื้อ ประกอบด้วย 1.โรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ เอ็กซ์เพรส กรุงเทพ สาทร 2. Bangkok Marriott Hotel The Surawongse 3.โรงแรม เจริญกรุง 93 (จะได้รับการพัฒนา) 4.โรงแรม อีสต์ เอเชีย (จะได้รับการพัฒนา) 5.โรงแรมบันยันทรี จอมเทียน พัทยา(1) (จะได้รับการพัฒนา) 6.โรงแรมแกรนด์โซเล่ (จะได้รับการรีแบรนด์)

7.พัทยา มิกซ์ยูส รีเทล แอนด์ โฮเทล ดีเวลลอปเมนต์ (จะได้รับการพัฒนา) 8. Hua Hin Marriott Resort & Spa 9.โครงการหัวหิน บีชฟรอนท์ (จะได้รับการปรับปรุง) 10.โรงแรมอิมพีเรียลแม่ปิง (จะได้รับการปรับปรุง) 11.โรงแรมพรพิงค์ ทาวเวอร์ (จะได้รับการรีแบรนด์) และ 12. Phuket Marriott Resort & Spa, Naiyang Beach
-ค้าปลีก/ออฟฟิศ
ส่วนกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ (Retail and Commercial Building) แอสเสท เวิรด์
เป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์เพื่อประกอบกิจการการค้า (Retail and Wholesale) ที่หลากหลาย มุ่งตอบสนองค่านิยมและความต้องการของทั้งผู้บริโภคในประเทศและนักท่องเที่ยว ที่เปิดดำเนินการแล้วทั้งหมด 8 แห่ง ซึ่งส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ และมีความหลากหลายของแพลตฟอร์มสูง เพื่อตอบสนองความต้องการที่เฉพาะเจาะจงสำหรับลูกค้าทุกกลุ่ม เช่น โครงการเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์

นอกจากนี้ ในปี 2561 บริษัทฯ ได้เปิดดำเนินงานอสังหาริมทรัพย์เพื่อประกอบกิจการปลีก (Retail) ใหม่ 2 แห่ง ได้แก่ โครงการลาซาล อเวนิว และโครงการเกทเวย์ แอท บางซื่อ

ทั้งนี้ บริษัทเชื่อมั่นว่าความหลากหลายของแพลตฟอร์มของอสังหาริมทรัพย์เพื่อประกอบกิจการการค้า (Retail and Wholesale) จะเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่จะส่งเสริมให้บริษัทมีผลประกอบการที่ดี และสามารถแข่งขันในอุตสาหกรรมได้ บริษัทจึงไม่ได้หยุดอยู่กับที่ แต่มีแผนพัฒนาต่อเนื่อง โดยขณะนี้มีโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนา ได้แก่ โครงการเออีซี เทรด เซ็นเตอร์ ที่เป็นอสังหาริมทรัพย์เพื่อประกอบกิจการการค้าส่ง (Wholesale) และมีโครงการคอมมูนิตี้มาร์เก็ต บางกะปิ ซึ่งเน้นผู้เช่าพื้นที่ประเภทอาหารและเครื่องดื่ม

รวมถึงมีโครงการส่วนต่อขยาย ได้แก่ โครงการลาซาล อเวนิว ส่วนต่อขยาย และ โครงการเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ ส่วนต่อขยาย

ขณะที่กลุ่มธุรกิจอาคารสำนักงาน (Office) ปุจจุบันมีอาคาสำนักงานทั้งหมด 4 แห่ง มีพื้นที่เช่าสุทธิ (NLA) รวมกันทั้งหมด 270,594 ตร.ม. ซึ่งตั้งอยู่ในทำเลสำคัญของกรุงเทพฯ เช่น อาคารเอ็มไพร์ ทาวเวอร์ ซึ่งตั้งอยู่ในย่านสาทร เป็นอาคารสำนักงานที่มีผู้เช่าส่วนใหญ่เป็นบริษัทข้ามชาติ และอาคารแอทธินี ทาวเวอร์ ในย่านเพลินจิต ซึ่งผู้เช่าส่วนใหญ่เป็นหน่วยงานราชการต่างประเทศ
จากสินทรัพย์ที่มีอยู่  92,759.1 ล้านบาท สามารถสร้างรายได้ให้กับบริษัทได้ 10,998 ล้านบาท ในปี 2561 แบ่งเป็นรายได้จากธุรกิจโรงแรมและบริการ 60% และ อสังหาริมทรัพย์เพื่อพาณิชยกรรม 40%
มีกำไรอยู่ที่ 489 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลกำไรที่ลดลงจากปีที่ผ่านๆ มาเนื่องจากมีการปรับโครงสร้างต้นทุนใหม่ โดยประเมินว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์จะมีแนวโน้มเติบโตเพิ่มขึ้นมากในอนาคต

ปัจจัยบวก-ลบ
บริษัทเชื่อว่า อสังหาริมทรัพย์ในกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการ (Hospitality) และกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ (Retail and Commercial Building) จะได้รับประโยชน์จากปัจจัยพื้นฐานด้านเศรษฐกิจในระดับมหภาคที่มีเสถียรภาพของประเทศไทย ผ่านทาง 3 ภาคธุรกิจหลัก ได้แก่ ภาคการท่องเที่ยว ภาคการส่งออก และภาคการบริการ และคาดว่าปัจจัยพื้นฐานด้านเศรษฐกิจดังกล่าวจะยังคงมีแนวโน้มที่เอื้อประโยชน์ต่อบริษัท อาทิ การเติบโตของอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับโรงแรม ความเชื่อมั่นของผู้บริโถค การขยายตัวของสัดส่วนของประชากรที่อาศัยอยู่ในเมือง ความมีเสถียรภาพทางการเงิน และโครงการพัฒนาและปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ที่สำคัญของภาครัฐ เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีความเสี่ยงอยู่หลายประการ อาทิ ความเสี่ยงในธุรกิจโรงแรมและการบริการซึ่งเป็นกิจการที่มีการแข่งขันและความเสี่ยงสูง ส่วนอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ในกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ (Retail and Commercial Building) เป็นธุรกิจที่มีการแข่งขันสูงเช่นกัน และอาจได้รับผลกระทบจากอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์รูปแบบใหม่ ๆ เช่น การให้บริการพาณิชย์ การพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-commerce) และพื้นที่ทำงานร่วมกัน (Co-working Space)

ทั้งหมดคือ ภาพรวมแบบย่อๆ ของอาณาจักรใหญ่มูลค่ากว่าแสนล้านบาทซึ่งเป็นอีกหนึ่งขาธุรกิจในเครือข่ายทีซีซี กรุ๊ป ที่วันนี้จะค่อยๆ แปรรูปจากธุรกิจกงสี สู่ธุรกิจสมัยใหม่ในอนาคต






Share:

เกี่ยวกับฉัน

รูปภาพของฉัน
เคยทำงานสื่อสารมวลชนสายเศรษฐกิจ อสังหาริมทรัพย์ และการตลาด มายาวนานกว่า 25 ปี กับหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ โพสต์ทูเดย์ และเว็บไซต์ Baania

ติดตามผ่าน Facebook

คลิปวิดีโอน่าสนใจ

ข่าวฮอต

Upgrade 25 ทำเลทั่วกรุงรองรับโครงข่ายรถไฟฟ้า(ตอนที่ 1)

ในร่างผังเมืองรวมกรุงเทพฯฉบับปรับปรุงครั้งที่ 4 จะมี 25 พื้นที่ทั่วกรุงเทพฯ ที่ได้ถูกปรับสีการใช้ประโยชน์ที่ดินอัพเลเวลให้เข้มข้นขึ้น เพ...

ค้นหาบล็อกนี้

Blog Archive

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

Translate