เพื่อนคู่คิดคนซื้อบ้าน-คอนโด รายงานความเคลื่อนไหวในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์

ดวง-ธุรกิจ วันจันทร์ที่ 29 เมษายน-วันอาทิตย์ที่ 5 พฤษภาคม 2562



คำพยากรณ์ระหว่างสัปดาห์ วันจันทร์ที่ 29 เมษายน-วันอาทิตย์ที่ 5 พฤษภาคม 2562

วันอังคารที่ 30 เมษายน 2562 เวลา 12.29-16.59 น. เหมาะทำบุญเสริมดวง ไถ่ชีวิตสัตว์ เปิดกิจการเสริมสวย ร้านสะดวกซื้อ

วันพุธที่ 1 พฤษภาคม 2562  เวลา 09.29-13.49 น. เหมาะเจิมยานพาหนะ  ขึ้นบ้านใหม่ เปิดกิจการอาหาร เปิดโชว์รูม

วันพฤหัสบดีที่ 2 พฤษภาคม 2562 เวลา 10.29-11.59 และ 16.49-18.59 น. เหมาะเปิดสมุดบัญชี สอบใบขับขี่ ติดต่อประสานงานกับผู้ใหญ่ เริ่มต้นงานใหม่ เปิดกิจการทัวร์ กาแฟสด

วันศุกร์ที่ 3 พฤษภาคม 2562 เวลา 12.19-16.49 น. เหมาะเปลี่ยนชื่อ-สกุล ยื่นเรื่องทำวีซ่า ฟ้องร้อง  เปิดกิจการเสริมสวย  เครื่องสำอาง  อาหารเสริมสุขภาพ

วันเสาร์ที่ 4 พฤษภาคม 2562 เวลา 11.39-14.59 น. เหมาะเซ็นสัญญาร่วมหุ้น สมัครงาน ขึ้นบ้านใหม่ เปิดกิจการ บันเทิง ไอที สมุนไพร

ท่านที่เกิดวันอาทิตย์      
ช่วงสัปดาห์นี้คุณค่อนข้างมีความสุขกับสิ่งที่รายล้อมรอบตัว  ด้านหน้าที่การงานมีความก้าวหน้า การขอความช่วยเหลือได้รับการตอบรับ  ความรักมีเรื่องน้อยอกน้อยใจเพราะคำพูด  มีเกณฑ์เสียเงินให้กับของสวยงาม สุขภาพระวังอุบัติเหตุจากของมีคม

ท่านที่เกิดวันจันทร์     
ช่วงสัปดาห์นี้คุณต้องระวังต้องรอบคอบในเรื่องต่างๆ ด้านการงานให้ระวังเอกสารผิดพลาด หรือจะมีความเสียหาย อย่าไว้ใจบริวารมากเกินไปนัก  ความรักมีเรื่องหึงหวง กับเรื่องเก่าๆ การเงินคล่องตัวและได้เปรียบในข้อต่อรอง สุขภาพระวังระบบทางเดินหายใจ

ท่านที่เกิดวันอังคาร         
ช่วงสัปดาห์นี้คุณสบายๆ กับการดำเนินชีวิต  ในเรื่องการงานมีเรื่องให้ต้องเร่งสะสางหรือต้องเข้าไปร่วมแก้ไขงานให้กับผู้อื่นเพื่อให้งานในส่วนของคุณมีความก้าวหน้า ความรักพึงระวังอย่าพูดเรื่องเก่าจะเข้าตัวเอง  การเงินระวังการจับจ่ายใช้สอยหรือการให้ผู้อื่นหยิบยืมมีเกณฑ์ได้คืนช้าหรือสูญเปล่าไปเสียเฉยๆ  สุขภาพระวังโรคประจำตัวกำเริบ

ท่านที่เกิดวันพุธ           
ช่วงสัปดาห์นี้คุณค่อนข้างหงุดหงิดใจเพราะสภาวะแวดล้อมที่ก่อกวนอารมณ์  การงานมีเรื่องให้ต้องหนักใจ การนำเสนอโครงการใหม่ๆ ไม่ค่อยได้รับการตอบรับเท่าไหร่นัก รอสัปดาห์หน้าจะมีความก้าวหน้ากว่า  การเงินคล่องมือและมีเกณฑ์การเสียเงินกับบริวารเพราะความใจอ่อน  ความรักสดใส สุขภาพระวังด้านระบบบ่อยอาหาร

ท่านที่เกิดวันพฤหัสบดี               
ช่วงสัปดาห์นี้ คุณมักต้องพบเจอกับปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ให้เหนื่อยอกเหนื่อยใจ   การงานอาจถูกก้าวก่ายงานจากเพื่อนร่วมงาน และมีโอกาสถูกขโมยซีนไปต่อหน้าต่อตา การเงินอาจต้องเสียเงินให้กับคนใกล้ชิดเพราะความใจอ่อน ความรักมีความเข้าอกเข้าใจกันดี สุขภาพแข็งแรง ระวังอุบัติเหตุจากการยกของหนัก

ท่านที่เกิดวันศุกร์         
ช่วงสัปดาห์นี้ คุณจะได้รับความร่วมมือและอาจได้พบมิตรใหม่ที่นำเรื่องดีๆ มาให้  การงานมีเรื่องหนักใจกับการถูกผู้ใหญ่ก้าวก่ายแทรกแซงงาน หากมีการติดต่อประสานงานควรให้ความสำคัญกับผู้น้อยจะทำให้งานก้าวหน้าได้ดี ความรักหากยังโสดจะได้พบคนถูกใจจากการแนะนำของมิตรสหาย  การเงินเข้าซ้ายจ่ายขวาให้วุ่น สุขภาพให้ระวังเรื่องการติดเชื้อหรือไข้หวัด

ท่านที่เกิดวันเสาร์           
ช่วงสัปดาห์นี้ เป็นช่วงขาขึ้นเหมาะต่อยอดในธุรกิจที่มี และอาจได้พบคนสำคัญที่นำความก้าวหน้ามาให้  ท่านที่เกิดวันนี้มีโชคในด้านการงาน คุณจะถูกมอบหมายงานตัวใหม่ และได้รับการร่วมมือจากคนรอบข้าง ความรักสดใส การเงินเหมาะกับการขอเครดิตและติดตามหนี้สิน  สุขภาพแข็งแรง

Share:

ผุดคอนโดใหม่เจาะ real demand กูรูแนะวางแผนออม-ดาวน์-กู้ ก่อนซื้อ



ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ปัญหาของการซื้อบ้านของคนระดับกลาง หรือมนุษย์เงินเดือนซึ่งเป็นฐานใหญ่ของตลาดก็คือ ราคาบ้านที่แพงเกินความสามารถในการซื้อ หาสินค้าในราคาที่เหมาะสมกับรายได้ไม่ค่อยจะได้ เหตุผลหนึ่งเป็นเพราะต้นทุนที่ดินที่ปรับสูงขึ้นทำให้ราคาบ้านสูงตาม

ขณะที่ผู้ประกอบการหันไปพัฒนาโครงการในระดับบนมากขึ้น เพราะซื้อง่ายขายคล่องกว่า โดยเฉพาะกำลังซื้อจากต่างชาติที่มองว่า ราคาอสังหาริมทรัพย์ในไทยยังถูกและน่าลงทุนกว่าหลายๆ ประเทศ จึงทุ่มเม็ดเงินเข้ามาในตลาดจนทำให้โครงสร้างราคาบิดเบี้ยวไปพอสมควร

ธปท.ประเมินตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย

เข้าสู่ปี 2561 มีสัญญาณบางอย่างที่น่าจะเป็นข่าวดีของคนซื้อบ้าน นั่นก็คือ ผู้ประกอบการเริ่มปรับฐานตลาดใหม่อีกครั้ง หลังจากธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศใช้มาตรการกำกับดูแลสินเชื่อที่อยู่อาศัย  สกัดการซื้อเพื่อเก็งกำไร หรือพฤติกรรม  Search for Yield หรือการแสวงหาผลตอบแทนจากการลงทุนที่สูงขึ้น ซึ่งเป็นต้นเหตุให้ราคาอสังหาริมทรัพย์บิดเบี้ยวไม่สอดคล้องกับความต้องการซื้อแท้จริงของตลาด

คอนโดต่ำกว่าแสน/ตร.ม.คืนตลาด
ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์จึงต้องปรับแผน โฟกัสไปที่เรียลดีมานด์ในตลาดเป็นหลักทำให้โครงการใหม่ๆ ในปี 2561 เริ่มสอดรับกับรายได้ของคนชั้นกลางมากขึ้น

“ภาพรวมตลาดในไตรมาส 1 มีการเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดหลายประการ  เช่น คอนโดมิเนียมที่เกิดใหม่ไตรมาสนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นคอนโดมิเนียมกลุ่มซิตี้คอนโด ที่มีราคาต่อตารางเมตรไม่เกิน 75,000 บาท และ ตลาดกลาง หรือ mid market ที่มีราคาต่อตารางเมตรไม่เกิน 100,000 บาท รวมกันมากถึง 75% ของจำนวนหน่วยที่เปิดใหม่ทั้งหมด (ประมาณ 8,500 หน่วย)



แสดงให้เห็นว่า ผู้ประกอบการเริ่มปรับตัวในการพัฒนาสินค้าเพื่อตอบรับกับตลาดที่มีความต้องการแท้จริงมากขึ้น และคาดว่าอุปทานใหม่ในช่วงปีนี้ เทรนด์ยังคงเป็นตลาดกลุ่มซิตี้คอนโด และตลาดกลาง หรือ mid market มากขึ้น” นลินรัตน์ เจริญสุพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด กล่าว

ปักธงทำเลรอยต่อเขตเมืองชั้นใน
ทั้งนี้ เน็กซัส ได้สำรวจตลาดคอนโดมิเนียมในกรุงเทพช่วงไตรมาสที่  1  ของปี 2562 พบว่า มีอุปทานคอนโดมิเนียมเกิดใหม่ในตลาดทั้งสิ้น 11,300 หน่วย จาก 30 โครงการ มูลค่า 49,000 ล้านบาท จำนวนหน่วยลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วประมาณ 20% โดยทำเลที่มีการเปิดตัวของคอนโดมิเนียมมากที่สุดยังคงเป็นพระโขนง สวนหลวง แบริ่ง จำนวน 2,400 หน่วย 21% รองลงมาเป็น พญาไท รัชดาภิเษก จำนวน 1,938 หน่วย 17% และอันดับสามคือ ลาดพร้าว วังทองหลาง จำนวน 1,580 หน่วย 14%

โครงการส่วนใหญ่ที่เปิดตัวในไตรมาสแรกอยู่ในพื้นที่ที่เป็นส่วนต่อจากเขตเมืองชั้นใน เป็นอาคารโลว์ไรส์สูง 8 ชั้น อยู่ในซอยต่างๆ แต่ยังคงอยู่ในแนวรถไฟฟ้าที่เปิดให้บริการแล้ว และรถไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง ส่วนโครงการในเมืองยังมีอยู่ประมาณ 20%



สำหรับคนที่จะซื้อที่อยู่อาศัยในปีนี้น่าจะมีสินค้าที่ตรงกับกำลังความสามารถในการซื้อให้เลือกมากขึ้น แต่สิ่งที่ต้องเตรียมตัวรับมือให้ดีก็คือ ความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน 

side effects มาตรการคุม LTV 
แน่นอนว่า มาตรการกำกับดูแลการปล่อยสินเชื่ีอของสถาบันการเงิน จะทำให้ผู้ซื้อบ้านต้องใช้เงินดาวน์ในการซื้อบ้านมากขึ้น จากที่อาจจะไม่ต้องจ่ายเงินก่อนเลย เพราะสามารถกู้ได้ 100% หรือมากกว่านั้น แต่ปัจจุบันต้องวางเงินดาวน์ 10-30% สำหรับการซื้อบ้านหลังที่สองและหลังที่สาม

แม้ว่าคนซื้อบ้านหรือคอนโดเป็นหลังแรกธนาคารยังปล่อยกู้ด้วยเกณฑ์ปกติ ก็คือสามารถกู้ได้ 90-100% แต่ในโลกแห่งความเป็นจริงธนาคารไม่ปล่อยกู้ให้ 100% เหมือนก่อน และจะยิ่งเข้มงวดกับคุณภาพของผู้กู้มากยิ่งขึ้น เพราะเป็นสิ่งที่ธนาคารแห่งประเทศไทยต้องการเห็นการปล่อยสินเชื่อที่มีคุณภาพมากขึ้นนั้นเอง

side effects จากการคุมวงเงินสินเชื่อ (Loan to Value : LTV) จึงมีผลกับการซื้อ ขาย กู้เงิน ซื้อบ้านและคอนโดไม่ว่าจะเป็นบ้านหลังแรก หลังที่สองหรือสาม อย่างแน่นอน 



อธิป พีชานนท์ นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร ให้ความเห็นว่า ความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของธนาคารทำให้มียอดปฏิเสธปล่อยการสินเชื่อเพิ่มเป็น 40-50% ขณะที่การหาผู้กู้ร่วมเป็นไปได้ยากขึ้น เพราะมาตรการคุมสินเชื่อคราวนี้จะทำให้ผู้กู้ร่วมจะถูกนับร่วมเป้นผู้ซื้อร่วมไปด้วย

ยกตัวอย่างให้เห็นง่ายๆ สมมุติว่าจะเอาใครมาเป็นผู้กู้ร่วม ถ้าคนๆ นั้นยังไม่เคยซื้อบ้านเลย เมื่อมาเป็นผู้กู้ร่วมให้เราก็จะถูกนับว่าได้ซื้อบ้านไปแล้ว ทีนี้ถ้ามีความจำเป็นที่จะต้องซื้อบ้านของตัวเอง เขาก็จะกลายเป็นผู้ซื้อบ้านหลังที่สองซึ่งต้องจ่ายดาวน์เพิ่มขึ้นนั่นเอง ดังนั้น การหาผู้กู้ร่วมจะลำบากขึ้น คนซื้อบ้านจึงต้องพึ่งพาตัวเองให้มากที่สุด จากที่มีผู้กู้ร่วมเราอาจจะได้วงเงินที่มากกว่ากู้คนเดียว ต่อไปนี้ก็คงต้องเลือกซื้อบ้านในราคาที่ลดลง เพื่อให้รับภาระกู้และผ่อนคนเดียวไหว

โดนอีกแน่! คุมเข้มภาระหนี้คนซื้อบ้าน
“การซื้อบ้านหรือคอนโด จะต้องวางแผนล่วงหน้า  โดยจะต้องมองตัวเองว่าจะผ่อนแบบไหนตามหลักเกณฑ์ของ LTV ซึ่งจะต้องผ่อนดาวน์ตั้งแต่ 5-30% ตามประเภท และราคาบ้าน หรือถ้าจะซื้อบ้าน-คอนโด พร้อมอยู่ ก็จำเป็นจะต้องมีเงินก้อนไปโปะ ส่วนนักเก็งกำไร ในสถานการณ์เช่นนี้คงต้องหยุดพักร้อนยาวไปก่อนจะดีกว่า” อธิป กล่าวในที่สุด

นอกจากการคุมการปล่อยสินเชื่อบ้านแล้ว อีกมาตรการที่ ธปท.อาจจะนำมาใช้และมีผลกระทบต่อการกู้ซื้อบ้านนั่นก็คือ การดูความสามารถในการชำระหนี้จากสัดส่วนภาระหนี้ต่อรายได้ (Debt Service Ratio:DSR) ที่อาจจะเข้มข้นขึ้น จนทำให้คนซื้อบ้านกู้เงินได้น้อยลงหรือกู้ไม่ได้เลยก็เป็นไปได้ ซึ่งก็คงต้องติดตามกันว่า มาตรการนี้จะออกมาใช้หรือไม่ และเมื่อไร

ทางออกที่ดีที่สุดสำหรับคนที่คิดจะซื้อบ้านก็คือ วางแผน ออมเงินก่อนให้ได้ 20-30% ของราคาบ้าน อะไรๆ ก็จะง่ายขึ้น



Share:

ศุภาลัย ไอคอน สาทร ทำเลดี ราคาโดน



เป็นโครงการที่หลายคนเฝ้ารอและถูกถามถึงมาตลอดหลังจากที่ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) ชนะการประมูลได้ที่ดินสถานทูตออสเตรเลีย เนื้อที่ 7 ไร่  3 งาน 82 ตารางวา หน้ากว้าง 70 เมตร ลึก 160 เมตร  ซึ่งหาไม่ได้ง่ายๆ บนถนนสาทรมาครอบครองด้วยราคา 4,600 ล้านบาท  หรือตกตารางวาละ 1.45 ล้านบาท

ในวันนั้น ประทีป ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ศุภาลัย ประกาศจะผุดโครงการมิกซ์ยูสที่จะเป็นแลนด์มาร์กแห่งใหม่บนถนนสาทร ประกอบไปด้วย คอนโดมิเนียม อาคารสำนักงานเกรดเอ และพื้นที่ค้าปลีก ภายใต้ชื่อ ศุภาลัย ไอคอน สาทร

ผ่านมาเกือบ 2 ปี วันนี้ ศุภาลัยพร้อมแล้วกับการเปิดตัวคอนโดมิเนียมในโครงการศุภาลัย ไอคอน สาทร กับห้องชุด 1-4 ห้องนอน ขนาด 42-350 ตารางเมตร ในราคาเริ่มต้นที่ 8.2 ล้านบาท  หรือเริ่มต้นที่ 1.95 แสนบาท/ตารางเมตร และราคาสูงสุดที่ 280 ล้านบาท กับซูเปอร์ เพนต์เฮาส์ ขนาด 970 ตารางเมตร หรือราคาต่อตารางเมตรที่ 2.88 แสนบาท


สำหรับศุภาลัย ไอคอน สาทร เป็นโครงการระดับ masterpiece ของศุภาลัย มีพื้นที่รวมทั้งหมด 150,000 ตารางเมตร แบ่งเป็นพื้นที่คอนโดมิเนียม 71% อาคารสำนักงาน 23% และค้าปลีก 6% มีมูลค่าโครงการรวม 20,000 ล้านบาท ในส่วนของคอนโดมิเนียมสูง 56 ชั้น มีจำนวนห้องชุดรวม 700 ยูนิต โดยมีพื้นที่สีเขียวรวมทั้งโครงการกว่า 3 ไร่

แน่นอนว่า พื้นที่เดิมเป็นที่ตั้งของสถานทูตออสเตรเลีย ศุภาลัย จึงพยายามถ่ายทอดความเป็น Aussie ออกมาในการออกแบบโครงการ ศุภาลัย ไอคอน สาทร จนมีคำถามตามมาว่า ทำไมต้องขนาดนั้น แต่ถ้าได้ฟังที่มาที่ไปของการนำเอกลักษณ์ของประเทศออสเตรเลียมาใส่ในโครงการแล้ว ก็น่าชื่นชมอยู่ไม่น้อย

ศุภาลัย
ไตรเตชะ ตั้งมติธรรม
ไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เล่าให้ฟังว่า หลังจากที่ได้ที่ดินแปลงนี้มา เราก็เข้าไปเพื่ออยากสัมผัสถึงความรู้สึกที่เกิดขึ้นมาเป็นไอเดียในการออกแบบโครงการ ความรู้สึกที่ได้สามารถถ่ายทอดออกมาได้ 3 คำ คือ Retreat Relax Refresh และเป็นความรู้สึกที่ศุภาลัยได้ถ่ายทอดมาที่โครงการ ศุภาลัย ไอคอน สาทร

ที่น่าสนใจไปกว่านั้น ก็คือ สถานทูตออสเตรเลีย ได้นำเอกลักษณ์ไทย และสถาปัตยกรรมไทยหลายๆ อย่างมาใช้ในการออกแบบเสมือนเป็นให้เกียรติ ประเทศไทย ศุภาลัยจึงเลือกที่จะดึงเอาเอกลักษณ์สำคัญของออสเตรเลียมาใส่ไว้ในโครงการเสมือนเป็นการให้เกียรติประเทศออสเตรเลียด้วยเช่นกัน

ศุภาลัย เลือกเอาสิ่งก่อสร้างที่เป็นสัญญลักษณ์ของออสเตรเลีย ได้แก่ เส้นสายหลังคาของซิดนีย์โอเปร่าเฮาส์อันโด่งดัง และเส้นสายความโค้งของสะพานฮาร์เบอร์ รวมถึงการเลือกสีที่บ่งบอกถึงภูมิประเทศออสเตรเลีย คือ สีทองแดง(ทะเลทราย) และสีฟ้า(ทะเล) มาเป็นองค์ประกอบในการออกแบบอาคารให้มีกลิ่นอายของความเป็นออสเตรเลียปะปนอยู่ แต่มองดูรวมๆ แล้วก็ยังไม่ทิ้งความเป็นศุภาลัยไปได้เท่าไรนัก
forest garden
มาว่ากันที่ทำเลที่ตั้ง ซึ่งเป็นจุดเด่นมากๆ ของโครงการ เพราะตั้งอยู่บนถนนสาทรฝั่งใต้ อยู่ในจุดที่สามารถกลับรถได้สะดวก ไม่ไกลจากรถไฟฟ้า MRT สถานีลุมพินี บีทีเอส สถานีสุรศักดิ์ และสถานีช่องนนทรี รวมถึงไม่ไกลจากทางด่วนทั้งขั้นที่ 1 และขั้นที่ 2 มากนัก การเดินทางจึงถือว่าสะดวกทั้งรถยนต์ และรถไฟฟ้า

ถนนสาทรในภาคกลางวัน คือย่านธุรกิจสำคัญเป็นส่วนหนึ่งของ CBD (Central Business District) ของกรุงเทพฯที่คราคร่ำไปด้วยผู้คนวัยทำงาน แต่สาทรในภาคกลางคืนกลับกลายเป็นที่อยู่อาศัยชั้นดีใจกลางเมืองที่เงียบสงบ แต่ก็มีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบถ้วน และมี nightlife ที่ทำให้ไม่รู้สึกเบื่อเมื่อได้มาอยู่อาศัยในย่านนี้ ยิ่งใครมีออฟฟิศอยู่แถวนี้ด้วยแล้ว ยิ่ง perfect เลยทีเดียว

งานตกแต่งภายใน
ไตรเตชะ ประเมินสถานการณ์ตลาดคอนโดมิเนียมในย่านสาทรให้ฟังว่า คอนโดสาทรมีเปิดตัวน้อยมาก ในช่วง 5 ปีหลังมีซัพพลายใหม่เข้ามาแค่ 2,800 ยูนิต ขณะที่พระราม 9 ทองหล่อ-เอกมัย เปิดตัวไม่น้อยกว่า 7,000 ยูนิตอัพ เฉพาะแค่ปีที่แล้ว ทองหล่อ-เอกมัยมีซัพพลายใหม่สูงถึง 4,600 ยูนิตเลยทีเดียว

การที่สาทรมีคอนโดเปิดใหม่น้อย เป็นเพราะพื้นที่ถูกพัฒนาไปเกือบหมดแล้ว โครงการศุภาลัย ไอคอน สาทร ถือเป็นที่ดิน freehold แปลงท้ายๆ ที่ยังไม่ได้พัฒนา ขณะที่ความต้องการซื้อหรืออยู่อาศัยในย่านสาทรถือว่าไม่เป็นสองรองใคร ดูจากยอดขายคอนโดย่านสาทรอยู่ในระดับ 70% อัพ ปัจจุบันเหลือซัพพลายอยู่หลัก 300 กว่ายูนิตเท่านั้น

ต้องบอกว่า ศุภาลัย เปิดราคาขายเริ่มต้นได้น่าสนใจที่เดียว กับไซส์ห้องเริ่มต้นที่ 42 ตารางเมตร ราคา 8.2 ล้านบาท  หรือราคา 1.95 แสนบาทต่อตารางเมตร ขณะที่คอนโดเปิดใหม่ในย่านนี้ขายกันที่ 2.5 แสนบาท บางโครงการวิ่งไปถึง 3 แสนบาทต่อตารางเมตร ยิ่งถ้าราคาเฉลี่ยของ ศุภาลัย ไอคอน สาทร อยู่ที่ 2 แสนต้นๆ ก็จะยิ่งเพิ่มแรงจูงใจในการซื้อมากขึ้นไปอีก

เพราะอย่าลืมว่า พื้นที่สาทร-พระราม 4 จะมีโครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็น one bangkok ตรงหัวมุมถนนวิทยุตัดพระราม 4 ซึ่งไม่ไกลจากศุภาลัย ไอคอน สาทร หรือจะเป็น โครงการ ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค ตรงโรงแรมดุสิตธานี โครงการสามย่านมิตรทาวน์ตรงสามย่าน หรือโครงการเดอะ ปาร์ค ตรงแยกคลองเตย เป็นต้น

โครงการใหญ่ๆ ระดับแสนล้านเหล่านี้จะอัพเวเวลทำเลพระราม 4 รวมไปถึงสาทร ให้กลายเป็นทำเลทองฝั่งเพชรในอนาคต ซึ่งมีการประเมินกันว่าจะทำให้มูลค่าของที่อยู่อาศัยในบริเวณดังกล่าวปรับตัวสูงขึ้น 20-30% โดยราคาขายไม่ต่ำกว่า 3 แสนบาทต่อตารางเมตรมีให้เห็นแน่ๆ ศุภาลัย ไอคอน สาทร จึงดูดีมีอนาคตทั้งในแง่ของ rental yield และ capital gain เลยทีเดียว

รายละเอียดโครงการ

ชื่อโครงการ :   ศุภาลัย ไอคอน สาทร (SUPALAI ICON SATHORN)
เจ้าของโครงการ :   บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน)
ที่ตั้งโครงการ:  ถนนสาทร แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร
เนื้อที่โครงการ :  ที่ดิน 7 - 3 - 82 ไร่
ลักษณะโครงการ:  คอนโดมิเนียม สูง 56 ชั้น (ไม่รวมดาดฟ้า) จำนวน 1 อาคาร
ลักษณะห้องชุด :  1-4 ห้องนอน ขนาด 42-350 ตร.ม. และ Super Penthouse ขนาด 970 ตร.ม.
พื้นที่สีเขียว :  กว่า 2 ไร่ (รวมทั้งโครงการ)
สิ่งอำนวยความสะดวก
ภายในห้องพัก : Home Automation System
                              : Smart Kitchen
                             : Intelligent Toilet
                             : Digital Door Lock
                             : Double Glazing ภายในห้องนอนทุกห้อง

สิ่งอำนวยความสะดวก
ภายในโครงการ    : EV Charger
                                : Movie Club
                                : สระว่ายน้ำระบบเกลือ 2 สระ
  : Board Room
                                : Fitness
                                : Roof Garden
                                : Boxing
: Co-living Space
                                : Table tennis Room
                                : Kid’s Room
                                : Aerobic & Yoga
                                : Playground
                                : Yoga Fly
                                : Mini Climbing Simulation
                                : Hydrotherapy
                                : Sky Lounge (ชั้น 53, 54)
                                : Sauna & Steam
                                : Finger scan / CCTV / SD, HD
                                : Group Cycling
                                : ลิฟท์ที่พักอาศัย  8 ตัว
                                : Parking Lift 2 ตัว
                              : Service Lift 2 ตัว



Share:

‘ขายฝาก’ ยุคใหม่ ปิดช่องนายทุนฮุบที่ดิน



บ่อยครั้งที่เราได้ยินข่าวคราวของนายทุนฮุบที่ดินเกษตรกรชาวไร่ ชาวนา ที่นำมาขายฝาก เพื่อนำเงินไปต่อทุน ประทังชีวิต แต่ด้วยช่องโหว่ของกฎหมายขายฝากนี่เองที่ทำให้นายทุนที่ไร้มนุษยธรรมใช้เป็นเครื่องมือในการโกงที่ดินของเกษตรกรจนสิ้นเนื้อประดาตัวมานักต่อนัก เรื่องราวแบบนี้อาจเคยเกิดกับพ่อแม่ญาติพี่น้องหรือคนใกล้ชิดของเรามาแล้วก็ได้

แต่หลังจากวันที่ 17 เมษายน 2562 เป็นต้นไป ปัญหาการโกงที่ดินจากการขายฝากจะหมดไป เมื่อพระราชบัญญัติคุ้มครองประชาชนในการทำสัญญาขายฝากที่ดิน เพื่อเกษตรกรรมหรือที่อยู่อาศัย พ.ศ. ๒๕๖๒ ได้มีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการ

การขายฝากคืออะไร?
การขายฝาก   คือ   สัญญาซื้อขายซึ่งกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินตกไปยังผู้ซื้อ   โดยมีข้อตกลงกันว่าผู้ขาย อาจไถ่ทรัพย์นั้นคืนได้ ซึ่งเป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๙๑-๕๐๒ ถ้าผู้ขายฝากไม่ไถ่ถอนตามที่ตกลงกัน ทรัพย์สินนั้นจะตกเป็นของผู้ซื้อทันที

การขายฝากแตกต่างกับการจำนองตรงที่การจำนองจะเอาทรัพย์สินนั้นไปเป็นประกันการชำระหนี้แก่ผู้รับจำนอง โดยทรัพย์สินจะยังไม่ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้รับจำนองโดยทันที หากผิดนัดชำระหนี้ต้องมีการฟ้องร้องบังคับคดีให้ทางศาลยึดทรัพย์ก่อน

ด้วยข้อกฎหมายของการขายฝากที่หละหลวมและล้าสมัย ทำให้ผู้รับซื้อซึ่งส่วนใหญ่ก็คือนายทุนในพื้นที่ใช้เป็นเครื่องมือในการฮุบที่ดินมาเป็นของตัวเองแบบง่ายๆ เช่น กฎหมายขายฝากไม่ได้กำหนดเวลาขั้นต่ำไถ่ทรัพย์เอาไว้ นายทุนอาจจะกำหนดเวลาสั้นๆ ให้ผู้ขายฝากหาเงินมาไถ่ไม่ทัน หรือบังคับให้เซ็นชื่อในกระดาษเปล่า โดยนายทุนสามารถกำหนดเงื่อนไขบีบบังคับได้ตามอำเภอใจ
กฎหมายขายฝาก จึงเสมือนเป็นกฎหมายทาสที่สร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนมาอย่างมากมายและยาวนาน เพราะปีๆ หนึ่งมีคนที่เอาที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ไปขายฝากกับนายทุนเป็นหลายหมื่นรายเลยทีเดียว
จนที่สุดรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ผลักดันพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) คุ้มครองประชาชนในการทำสัญญาขายฝากที่ดินเพื่อการเกษตรกรรมหรือที่อยู่อาศัย พ.ศ.... ขึ้นเพื่อสร้างความเป็นธรรมให้กับประชาชนที่ขายฝากไม่ให้ถูกมัดมือและได้มีผลบังคับใช้แล้วเมื่อวันที่ 17 เม.ย.ที่ผ่านมานี่เอง

เหตุผลในการประกาศใช้พ.ร.บ.ฉบับนี้ เป็นเพราะการขายฝากที่ดินเพื่อเกษตรกรรมและที่อยู่อาศัยซึ่งเป็นเครื่องมือในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของประชาชนจำนวนมากนั้น ปรากฏว่าผู้ขายฝากมีอำนาจต่อรองน้อยกว่าผู้ซื้อฝาก อันเนื่องมาจากสถานะทางเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน และผู้ขายฝากอาจได้รับความเดือดร้อนจากการสูญเสียที่ดินทำกินหรือที่อยู่อาศัย

พ.ร.บ.ฉบับนี้จึงกำหนดมาตรการควบคุมการทำสัญญาขายฝากที่ดินเพื่อเกษตรกรรมหรือที่อยู่อาศัยไว้เป็นการเฉพาะ โดยได้กำหนดสิทธิและหน้าที่ของผู้ขายฝากและผู้ซื้อฝากให้ชัดเจน กำหนดให้เจ้าหน้าที่ของรัฐตรวจสอบความถูกต้องของสัญญารวมทั้งอำนวยความสะดวกและให้ความเป็นธรรมแก่ผู้ขายฝากในทุกขั้นตอน

ประเด็นสำคัญๆ ที่กำหนดไว้ในพ.ร.บ.ฉบับนี้ เพื่อคุ้มครองประชาชนในการขายฝาก อาทิ

  • เนื้อหาของสัญญาขายฝากจะต้องให้เจ้าหน้าที่พนักงานที่ดินตรวจสอบเสียก่อนจึงจะจดทะเบียนได้ และถ้าไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ถือเป็นโมฆะ
  • หนังสือสัญญาขายฝาก อย่างน้อยต้องมีรายการดังต่อไปนี้ (1) ชื่อและที่อยู่ของคู่สัญญา (2) รายการและลักษณะทรัพย์สินที่ขายฝาก (3) ราคาที่ขายฝาก (4) จำนวนสินไถ่ (5) วันที่ขายฝากและกำหนดวันที่ครบกำหนดไถ่ทรัพย์สิน
  • จำนวนสินไถ่เมื่อคำนวณรวมกับดอกเบี้ยแล้วต้องไม่เกินร้อยละสิบห้าต่อปี การกำหนดเวลาไถ่จะมีระยะเวลาไม่ต่ำกว่า 1 ปี แต่ต้องไม่เกิน 10 ปี 
  • ข้อพิพาทที่เกิดจากการขายฝากให้เป็นคดีผู้บริโภคตามกฎหมายว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค เพื่อให้ผู้ที่ได้รับความเสียหายได้รับการแก้ไขเยียวยาอย่างรวดเร็ว ประหยัด และมีประสิทธิภาพ
  • ข้อตกลงที่ขัดหรือแย้งกับพระราชบัญญัตินี้ไม่ว่าจะมีอยู่ในสัญญาขายฝากหรือทำเป็นข้อตกลงต่างหาก ให้ถือเป็นโมฆะ
  • ผู้ขายฝากมีสิทธิครอบครอง ใช้สอย และเอาประโยชน์จากทรัพย์สินที่ขายฝาก เพื่อประโยชน์ในการประกอบเกษตรกรรมหรือใช้เป็นที่อยู่อาศัย โดยไม่ต้องชำระค่าตอบแทนให้แก่ผู้ซื้อฝาก
  • ก่อนวันครบกำหนดเวลาไถ่ไม่น้อยกว่า 3 เดือนแต่ไม่มากกว่า 6 เดือน ให้ผู้ซื้อฝาก แจ้งเป็นหนังสือส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียนไปยังผู้ขายฝาก ให้ทราบถึงกำหนดเวลาไถ่ และจำนวนสินไถ่
  • กรณีที่ผู้ซื้อฝากไม่ได้ทำหนังสือแจ่งไปยังผู้ขายฝากภายในระยะเวลาที่กำหนดให้ผู้ขายฝากมีสิทธิไถ่ทรัพย์สินที่ขายฝากได้ภายใน 6 เดือนนับแต่วันครบกำหนดไถ่ที่ระบุไว้ในสัญญาขายฝาก

พ่อแม่พี่น้องเกษตรกรหรือประชาชนคนไทย คงจะเข้าถึงแหล่งทุนอย่างเบาใจได้บ้างว่า ที่ดินไร่นาบ้านเรือนที่นำไปขายฝากกับใคร คงไม่หลุดมือไปเหมือนในอดีตที่ผ่านมา 

Share:

Mass urbanization พัฒนาเมืองด้วยระบบราง


เมื่อการก่อสร้างระบบขนส่งทางราง ไม่ว่าจะเป็นรถไฟฟ้า รถไฟความเร็วสูง รถไฟทางคู่ เริ่มเป็นรูปธรรม จะเกิดการเคลื่อนย้ายของคนเข้าสู่เมืองใหญ่ โดยเฉพาะกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นเมืองศูนย์กลางของประเทศและภูมิภาคอาเซียน แรงงานจะเคลื่อนย้ายเข้าเมือง และอยู่อาศัยในพื้นที่นอกเมืองที่ห่างไกลออกไปโดยอาศัยขนส่งระบบรางในการเดินทางเข้าออกเมือง
หลายคนอาจจะเคยฝันว่า มีที่พักอยู่ที่เขาใหญ่หรือพัทยา และใช้ไฮสปีดเทรนเดินทาง 1 ชั่วโมง เข้ามาติดต่องานในกรุงเทพฯ  เชื่อว่า จะเกิดขึ้นได้แน่ในอนาคตอันใกล้นี้

กรุงเทพฯ จะขยายตัวมากขึ้น เมื่อแรงงานหนุ่มสาวย้ายเข้าสู่เมืองตามวิถีของ mass urbanization การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ตามแนวรถไฟฟ้า และจุดตัดในลักษณะของ Transit-Oriented Development  :TOD จะตามมา เมื่อเมืองขยายตัวมากขึ้นก็ต้องมีเมืองที่สามารถรองรับการเติบโดของกรุงเทพฯ  ซึ่งการพัฒนาเขตพิเศษภาคตะวันออก หรืออีอีซี  เป็นโครงการนำร่องที่จะสร้างแหล่งงานและความเจริญในภูมิภาค

3 จังหวัดนำร่อง ได้แก่ ชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา ได้ถูกกำหนดบทบาทไว้แตกต่างกันออกไป ขณะนี้ ผังเมืองอีอีซีได้ยกร่างเสร็จแล้ว คาดว่าจะประกาศใช้ได้ในเดือนสิงหาคมที่จะถึงนี้ โดยมีพื้นที่ในผังทั้ง 3 จังหวัดรวมกัน 8.29 ล้านไร่ หรือ 13,266 ตารางกิโลเมตร

  • จังหวัดฉะเชิงเทรา จะเป็นเมืองสำหรับที่อยู่อาศัยชั้นดีรองรับการขยายตัวของอีอีซี และกรุงเทพมหานคร โดยจะพัฒนาให้เป็นสมาร์ทซิตี้ ส่วนอุตสาหกรรมจะเน้นอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการเกษตร
  • จังหวัดระยองเป็นเรื่องของอุตสาหกรรมที่ต่อเนื่องจากอีสเทอร์นซีบอร์ด แต่เป็นอุตสาหกรรมที่เป็น new s curve ที่เน้นเทคโนโลยี และนวัตกรรม
  • จังหวัดชลบุรี จะเน้นในเรื่องของอุตสาหกรรมที่มีอยู่แล้ว การท่องเที่ยวแนวผจญภัย ศูนย์การประชุม และเป็นศูนย์กลางการคมนาคมทั้งทางอากาศ(อู่ตะเภา)และทางเรือ (จุกเสม็ด) ทั้งด้านการขนส่งอุตสาหกรรม และท่องเที่ยว 

สำหรับเมืองใหม่จะมีการกำหนดไว้เป็นโซนในพื้นที่จังหวัดฉะเชิงเทรา ระยอง โดยจะพัฒนาในรูปแบบของสมารืทซิตี้  และอาจจะมีการกำหนดพื้นที่อื่นๆ ในการพัฒนาเมืองใหม่ในจังหวัดในอีอีซีด้วย แต่ทั้งนี้ต้องดูความสนใจของนักลงทุนเป็นหลัก

นอกจากนี้ จะมีเมืองใหม่การพัฒนาเมืองใหม่รอบสถานีรถไฟความเร็วสูงในรัศมีไม่เกิน 2 กม. และพัฒนารอบสถานี หรือ TOD อีกด้วย

TOD จะเป็นหัวใจหลักในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ตามแนวระบบราง เหมือนในหลายๆ ประเทศที่ใช้หลักการนี้ในการพัฒนา แต่กว่าจะเป็นรูปเป็นร่างได้ต้องใช้เวลาอย่างน้อยๆ 5-10 ปีเลยทีเดียว



Share:

ประชัน 5 เมกะมิกซ์ยูส 2 แสนล้าน บูมทำเลพระราม 4


คอนโด พระราม 4
ค่อยๆ เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้นสำหรับการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับเมกะโปรเจ็กต์บนถนนพระราม 4 ที่ว่ากันว่า จะทำให้พระราม 4 กลายเป็น New CBD ตัวจริงเสียงจริง เพราะตลอดแนวเส้นพระราม 4 ตั้งแต่สามย่านมาถึงแยกคลองเตย มีโครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่ที่อยู่ระหว่างการพัฒนารวมกันทั้งหมด 5 โครงการ มูลค่ารวมกันกว่า 2 แสนล้านบาท และ 3 ใน 5 โครงการนั้นเป็นของกลุ่มคุณเจริญ สิริวัฒนภักดี มูลค่ารวมๆ กันเกือบ 150,000 ล้านบาท เมื่อทุกโครงการสร้างเสร็จ ถนนพระราม 4 จะกลายเป็นถนนเศรษฐกิจการลงทุนที่เป็นเส้นเลือดใหญ่เส้นสำคัญของกรุงเทพฯ 

วันนี้แต่ละโครงการก็มีความคืบหน้าไปเป็นลำดับ ล่าสุดคือ กลุ่มดุสิตธานีและเซ็นทรัล ได้เปิดตัวโครงการ “ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” บนที่ดินกว่า 23 ไร่ บริเวณโรงแรมดุสิตธานีในปัจจุบัน ในรูปแบบโครงการผสมผสานหรือมิกซ์ยูสมูลค่า 36,700 ล้านบาท ประกอบด้วย โรงแรม ที่พักอาศัย ศูนย์การค้า และอาคารสำนักงาน พื้นที่รวมกันประมาณ 440,000 ตารางเมตร ภายใต้แนวคิด “Here for Bangkok”


พระราม 4
ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค
Here for Bangkok จะเป็นมากกว่าการสร้างโครงการมิกซ์ยูสทั่วไป แต่จะพลิกโฉมกรุงเทพฯ และสร้างซูเปอร์คอร์ซีบีดี (Super Core CBD) ที่เชื่อมโยง 4 ย่านสำคัญจากทั้ง 4 ทิศของกรุงเทพฯ มุ่งตรงสู่ใจกลางเดียว ได้แก่ ย่านราชประสงค์ทางทิศเหนือ เจริญกรุงทางทิศใต้ สุขุมวิททางทิศตะวันออก และเยาวราชทางทิศตะวันตก ทำให้เกิดเป็น ‘The New Junction’ ที่เชื่อมโยงทุกย่านสำคัญของกรุงเทพฯ ทั้งย่านเก่าและย่านใหม่ รวมถึงย่าน Financial และ Commercial  


พระราม 4
ในส่วนของโรงแรมดุสิตธานี ที่จะสร้างขึ้นมาใหม่ เป็นโรงแรมขนาด 250 ห้อง ที่มีความสูง 39 ชั้น มีกำหนดก่อสร้างแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2565 และจะเปิดให้บริการก่อนส่วนอื่น ในส่วนของอาคารที่พักอาศัย ความสูง 69 ชั้น จำนวน 389 ยูนิต บนพื้นที่ 80,000 ตารางเมตร แบ่งเป็น ดุสิต เรสซิเดนเซส จำนวน 159 ยูนิต เจาะกลุ่มผู้ที่ชื่นชอบที่อยู่อาศัยสไตล์คลาสสิก  และดุสิต พาร์คไซด์ ตอบโจทย์ผู้ที่ชื่นชอบไลฟ์สไตล์คนเมือง จำนวน 230 ยูนิต

ขณะที่กลุ่มเซ็นทรัล จะพัฒนาโครงการภายใต้แบรนด์ ‘เซ็นทรัล พาร์ค’ (Central Park)  ประกอบไปด้วย เซ็นทรัล พาร์ค ออฟฟิศเซส อาคารสำนักงาน ที่คำนึงถึงความสมดุลในการใช้ชีวิตและการทำงาน พร้อมด้วยเทคโนโลยีที่เอื้อต่อไลฟ์สไตล์การทำงานของคนรุ่นใหม่บนพื้นที่ 90,000 ตร.ม. และศูนย์การค้าเซ็นทรัล พาร์ค ซึ่งจะมีบทบาทสำคัญที่สุดในการเชื่อมโยงทุกองค์ประกอบของโครงการเข้าด้วยกัน บนพื้นที่กว่า 80,000 ตารางเมตร โดยทั้ง2 โครงการ มีกำหนดก่อสร้างแล้วเสร็จและพร้อมเปิดให้บริการในปี พ.ศ. 2566

ถือว่า เป็นโครงการที่ดึงจุดเด่นของ 2 ธุรกิจมาผสมผสานกันชนิดที่เรียกว่ามีดีอะไรต้องขนมาให้หมด เพราะในพื้นที่ใกล้เคียงกันยังมีอภิมหาโปรเจ็กต์มูลค่า 120,000 ล้านบาท อย่าง One Bangkok ของนายเจริญ สิริวัฒนภักดี ประธานกรรมการ กลุ่มบริษัท ทีซีซี ที่ได้เปิดตัวไปแล้วก่อนหน้าและถือเป็นคู่แข่งสำคัญ


พระราม 4
One Bangkok

โครงการ One Bangkok วันนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้างฐานราก หลังจากเปิดตัวโครงการไปเมื่อ 2 ปีที่แล้ว โดยมีผู้รับเหมาใหญ่ ได้แก่ ไทยบาวเออร์ ซีฟโก้ และ อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ ก่อสร้างโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาในประเทศไทย ด้วยเนื้อที่ 104 ไร่ หัวมุมถนนวิทยุตัดพระราม 4  มีพื้นที่อาคารรวม 1,830,000 ตารางเมตร เพื่อเป็นศูนย์กลางของอาเซียนและเมืองที่เป็นประตูสู่โลก ประกอบด้วย อาคารสำนักงานเกรดเอ 5 อาคาร โรงแรมหรูอีก 5 โรงแรม คอนโดอัลตราลักชัวรี 3 อาคาร พร้อมด้วยร้านค้าปลีก และพื้นที่ทำกิจกรรมที่หลากหลาย โดยจะเปิดให้บริการเฟสแรกในปี 2565 

อีก 2 โครงการบนถนนพระราม 4 ที่ดำเนินการภายใต้กลุ่มของนายเจริญ ได้แก่  สามย่านมิตรทาวน์   โครงการมิกซ์ยูสมูลค่าการลงทุนกว่า 8,500 ล้านบาท  เนื้อที่ 14 ไร่ พื้นที่ใช้สอยรวม 222,000 ตารางเมตร ประกอบด้วย โซนรีเทล “Urban Life Library” สูง 6 ชั้น พื้นที่ให้เช่ากว่า 36,000 ตารางเมตร โซนอาคารสำนักงาน มิตรทาวน์ ออฟฟิศ ทาวเวอร์ อาคารสำนักงานเกรด A สูง 31 ชั้น พื้นที่เช่ารวม 48,000 ตารางเมตร 

พระราม 4
สามย่านมิตรทาวน์


ความคืบหน้าล่าสุดของสามย่านมิตร
และซนที่พักอาศัย “Neo Explorer Living Platform” ทั้งโรงแรม 104 ห้อง และคอนโดมิเนียม ทริปเปิ้ล วาย เรสซิเด้นซ์ ที่อยู่อาศัยสำหรับคนรุ่นใหม่ สูง 33 ชั้น จำนวน 516 ยูนิต ล่าสุดเพิ่งเปิดพรีเซล ซึ่งเป็นการขายสิทธิการเช่า 30 ปี ขนาด1 ห้องนอน 34 ตารางเมตร 1 ห้องนอน 40 ตารางเมตร และ 2 ห้องนอน 68 ตารางเมตร 38 ห้อง ในราคาเริ่มต้น 4.49 ล้านบาท  สามารถขายไปได้แล้วกว่า 1,000 ล้านบาท ส่วนออฟฟิศมียอดจองพื้นที่แล้ว 40% ยอดขายรีเทลผู้เช่าหลักเต็ม 100% เหลือเฉพาะรายย่อยอีกเล็กน้อย โดยมีความคืบหน้างานก่อสร้างของทั้งโครงการแล้ว 80%

พระราม 4
เดอะ ปาร์ค 
ส่วนอีกโครงการคือ โครงการ เดอะปาร์ค บริเวณหัวมุมถนนพระราม 4 ตัดถนนรัชดาภิเษก เนื้อที่ 24 ไร่  มูลค่าโครงการรวม 20,000 ล้านบาท พื้นที่โครงการรวม 320,000 ตารางเมตร ขณะนี้อยู่ระหว่างก่อสร้างในเฟสแรกมูลค่า 8,000 ล้านบาท ประกอบด้วย อาคารสำนักงานเกรดเอ ภายใต้ชื่อ เดอะปาร์ค เวิร์คเพลส สูง 16 ชั้น พื้นที่กว่า 60,000 ตารางเมตร และ พื้นที่ค้าปลีกภายใต้เดอะปาร์ค ไลฟ์ ร้านค้าปลีก ร้านอาหารซูเปอร์มาร์เก็ตและศูนย์อาหาร บนพื้นที่ 12,000 ตารางเมตร ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จและเปิดให้บริการในต้นปี 2563 

เดอะปาร์ค จะเป็นหนึ่งในโครงการที่เชื่อมต่อกับศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ที่จะปิดปรับปรุงใหม่ในเร็วๆ นี้ด้วยงบประมาณ 6,000 ล้านบาท และเชื่อมโยงกับอาคารตลาดหลักทรัพย์เดิม และโครงการเอฟวายไอที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ทำให้บริเวณแยกพระรามสี่ตัดรัชดาฯ กลายเป็นอาณาจักรอีกแห่งของกลุ่มคุณเจริญ นอกเหนือจากโครงการ One Bangkok ที่อยู่แยกพระราม 4 ตัดถนนวิทยุ และโครงการสามย่านมิตรทาวน์ที่อยู่ตรงหัวมุมแยกสามย่าน เมื่อผนวกเข้ากับโครงการพัฒนาพื้นที่ของการท่าเรือในอนาคต ที่จะเป็นเนรมิตรให้เป็นมารีน่า ซิตี้ บริเวณนี้จะเป็นอีกจุดยุทธศาสตร์ของกรุงเทพฯเลยทีเดียว

สาทร
ศุภาลัย ไอคอน สาทร
ไตรเตชะ ตั้งมติธรรม ในวันเปิดศุภาลัย ไอคอน 
อีกหนึ่งโครงการที่แม้ว่าจะไม่ได้ตั้งอยู่บนถนนพระราม 4 ซะทีเดียว แต่ก็ถือว่าอยู่ในบริเวณที่ใกล้เคียงกัน นั่นคือ โครงการ ศุภาลัย ไอคอน สาทร ของบริษัท ศุภาลัย ที่เพิ่งเผยโฉมโครงการในส่วนของคอนโดมิเนียมไปไม่นานนี้

ศุภาลัย ไอคอน สาทร พัฒนาบนที่ดินสถาทูตออสเตรเลียเก่าที่ศุภาลัยชนะการประมูลมาเมื่อปี 2560 เนื้อที่ 7 ไร่ เศษ มูลค่าที่ดินประมาณ 4,600 ล้านบาท มีแผนจะพัฒนาในรูปแบบมิกซ์ยูส พื้นที่รวม 150,000 ตารางเมตร  ประกอบด้วย อาคารสำนักงาน มีสัดส่วน 23% ศูนย์การค้า 6% และคอนโดมิเนียม 71 % มูลค่าโครงการรวม 20,000 ล้านบาท ล่าสุดไคอนโดมิเนียม มูลค่าประมาณ 10,000 ล้านบาท เป็นคอนโดสูง 56 ชั้น จำนวนกว่า 700 ยูนิต มีตั้งแต่ 1-4 ห้องนอน ขนาด 42-350 ตารางเมตร และ Super Penthouse ขนาด 970 ตารางเมตร ซึ่งคาดว่าจะเปิดขายในเดือนพ.ค.-มิ.ย.นี้

ทั้งหมดนี้คือ ความคืบหน้าล่าสุดของเมกะโปรเจ็กต์ มิกซ์ยูสบนถนนพระราม 4 และพื้นที่ใกล้เคียง เมื่อทุกโครงการเสร็จสมบูรณ์ ถนนพระราม 4 จะกลายเป็นย่านเศรษฐกิจใหม่ที่เปลี่ยนกรุงเทพฯไปสู่มหานครระดับเวิลด์คลาสที่เป็นศูนย์กลางของภูมิภาคอย่างแท้จริง






Share:

เกี่ยวกับฉัน

รูปภาพของฉัน
เคยทำงานสื่อสารมวลชนสายเศรษฐกิจ อสังหาริมทรัพย์ และการตลาด มายาวนานกว่า 25 ปี กับหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ โพสต์ทูเดย์ และเว็บไซต์ Baania

ติดตามผ่าน Facebook

คลิปวิดีโอน่าสนใจ

ข่าวฮอต

Upgrade 25 ทำเลทั่วกรุงรองรับโครงข่ายรถไฟฟ้า(ตอนที่ 1)

ในร่างผังเมืองรวมกรุงเทพฯฉบับปรับปรุงครั้งที่ 4 จะมี 25 พื้นที่ทั่วกรุงเทพฯ ที่ได้ถูกปรับสีการใช้ประโยชน์ที่ดินอัพเลเวลให้เข้มข้นขึ้น เพ...

ค้นหาบล็อกนี้

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

Translate